"สว.นรเศรษฐ์" จี้ "อนุทิน" นายกฯ เดินหน้าแก้ รธน.ตามคำสัญญา เผยขั้นตอนและไทม์ไลน์ชัดเจน คาดเสร็จสิ้นปีนี้ จบลงที่การเลือกตั้งใหม่ต้นปีหน้า จับตากลไกใหม่ที่ทำให้ "ฉบับประชาชน" เป็นจริง แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ช่องมาแล้วว่าประชาชน "เลือก สสร. เองไม่ได้" การแก้ไขครั้งนี้จะถึงฝั่งหรือไม่ มีผลต่ออนาคตประเทศอย่างไร

วันที่ 15 ก.ย.2568 เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน  สิทธิมนุษยชน  สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า ตนคิดว่าในไทม์ไลน์ปัจจุบันขณะนี้ทางสภาก็ต้องเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ซึ่งดูแล้วทางพรรคการเมือง ในช่วงสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า น่าจะยื่นร่างแก้ไขของแต่ละพรรคเข้ามา จึงคิดว่าน่าจะมี รับหลักการวาระหนึ่ง ก่อนปิดสมัยประชุมสภาและมีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษา ในช่วงปิดสมัยประชุม โดยหลังจากเปิดสมัยประชุมหน้าคาดว่าจะมีการพิจารณาวาระ2-3 และตามไทม์ไลน์น่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะพอดีกับ พระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ ที่สามารถใช้ได้ ดังนั้นรัฐบาลน่าจะยุบสภาได้ในช่วงต้นปีหน้า

 นายนรเศรษฐ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ได้มีแนวทางในการผลักดันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นฉบับประชาชน โดยมีการศึกษาที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และศึกษาคุณสมบัติอำนาจหน้าที่ ซึ่งกรรมาธิการใช้เวลา 6-7 เดือน ก่อนสรุปเป็นเล่มรายงาน แต่ก็มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่า ประชาชนไม่สามารถเลือก ส.ส.ร. ได้โดยตรง ทาง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ สว. ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นนี้ และคิดว่าน่าจะมีข้อเสนอ เพราะเราเห็นด้วยที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่แล้ว แต่โจทย์ที่เราได้จากศาลรัฐธรรมนูญ ทางเราน่าจะมีโมเดลเกี่ยวกับที่มาของ สสร.จากประเด็นของนักวิชาการหลายคนที่เสนอมา เช่น ให้ประชาชนเลือกกลุ่ม ส.ส.ร. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อให้สภาเป็นผู้เลือกกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาเป็น ส.ส.ร. ทางนี้ก็ยังมีอีกหลายแนวทางในการคัดเลือก ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชนได้ โดยจะเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม

“จุดยืนของ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เชื่อประชาชนสามารถเลือก ส.ส.ร. โดยตรงได้ เพราะ และทั้งรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า ประชาชนมีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ จึงเชื่อมั่นว่าประชาชนควรจะมีสิทธิ์เลือก ส.ส.ร. โดยตรง แต่เมื่อความเห็นของศาลมนูญออกมาแบบนี้เราต้องพยายามแก้โจทย์ให้การเดินหน้าร่างเริ่มลงฉบับใหม่เดินต่อไปได้” นายนรเศรษฐ์ กล่าว

ด้านนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.ในฐานะกมธ.ฯ  กล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาเป็นเช่นนี้รัฐสภาต้องยืนยันว่า สิ่งนี้ไม่ใช่คำวินิจฉัย แต่เป็นความเห็นเพื่อดักทางไว้ข้างหน้า ดังนั้นรัฐสภามีสิทธิ์ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่การจะร้อง ไปที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งหลายคนก็อาจจะบอกว่าไม่อยากไปรบราฆ่าฟันกับศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เพราะเสนอไปก็อาจจะ ทำให้กระบวนการล่าช้า แต่ตนยังเห็นว่าสมาชิกรัฐสภา ก็คงต้องยืนยันใน ฐานะที่เป็นหนึ่งในเสาหลัก ของอำนาจอธิปไตย ต้องยืนยันเป็นประภาคารและกำแพงที่จะปกป้องสิทธิของประชาชน โดยไม่ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญลดทอน

นายเทวฤทธิ์ ยังกล่าวว่า ตนเห็นว่าในระหว่างทางการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ขอฝากไปถึงรัฐบาลไม่ควรปล่อยให้ไปถึงประชามติ แต่ควรมีการรณรงค์ก่อน และให้ข้อมูลกับประชาชนด้วย เพราะประชาชนอาจไม่เข้าใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร ดังนั้นก่อนจะถึงกำหนด 4  เดือนตามข้อตกลง  รัฐบาลจะต้องเปิดเวทีรณรงค์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แค่ไหนเราต้องถาม รัฐบาลโดยเฉพาะนายอนุทิน ว่ามีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญขนาดไหน ถ้าไม่ใช้กลไกของรัฐสภาแล้วประชามติแค่นั้น เพราะหากย้อนกลับไปในปี 2559 ก่อนที่จะมีการกระทำประชามติ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็มีการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติ