วันที่ 14 กันยายน 2568 เวลา 16.45 น. สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร รายงานระดับน้ำที่จุดวัดสะพานพระราม 8 อยู่ที่ 1.27 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับเตือนภัยที่ 2.55 ม.รทก. และระดับวิกฤตที่ 2.75 ม.รทก. อยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำสูงสุดในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาวัดได้ 1.81 ม.รทก. เมื่อวันที่ 12 กันยายน เวลา 21.10 น. สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนที่ต้องจับตา
ขณะที่อัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มน่ากังวล โดยข้อมูลล่าสุดวัดได้ 2,385.52 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที และมีช่วงที่อัตราการไหลสูงสุดในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาสูงถึง 3,263.21 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 03:55 น. ของวันนี้ ซึ่งเข้าใกล้ระดับวิกฤตที่ 3,500 ลบ.ม./วินาที
มวลน้ำจากตอนบนยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยวัดปริมาณน้ำผ่านที่จังหวัดนครสวรรค์ 2,259 ลบ.ม./วินาที และเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทมีการระบายน้ำอยู่ที่ 2,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับน้ำในพื้นที่ตอนล่างรวมถึงกรุงเทพมหานคร
ด้านสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา พบว่ายังสามารถรองรับน้ำได้อีก โดยมีปริมาณน้ำดังนี้
1.เขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำ 10,296 ล้าน ลบ.ม. (คิดเป็น 76% ของความจุ)
2.เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 8,289 ล้าน ลบ.ม. (คิดเป็น 87% ของความจุ)
3.เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาณน้ำ 755 ล้าน ลบ.ม. (คิดเป็น 80% ของความจุ)
4.เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 490 ล้าน ลบ.ม. (คิดเป็น 51% ของความจุ)
สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีการดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมถาวรทั้งหมด 32 จุด ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จ 22 จุด และเหลืออีก 10 จุด โดยในจำนวนนี้จะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนอีก 3 จุด ส่วนที่เหลืออีก 7 จุดอยู่ระหว่างการของบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งในระหว่างนี้ได้มีการนำกระสอบทรายมาวางเป็นแนวป้องกันชั่วคราวแล้ว