“ประชาชนเดือดร้อน ร้านค้าขึ้นป้ายงดโอน นักกฎหมายจวกมาตรการเหวี่ยงแห”
ปัญหาการอายัดบัญชีธนาคาร เพราะสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความโกลาหลไปทั่วประเทศ
จากมาตรการที่ตั้งใจออกมาเพื่อสกัดกั้นอาชญากรรมออนไลน์ กลับเกิดปัญหาลุกลามจนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกลูกหลง ร้านค้าหลายแห่งถึงขั้นติดป้าย “งดรับโอน รับเงินสดเท่านั้น” เพราะไม่มั่นใจว่าบัญชีของตนเองจะถูกล็อคเมื่อไร
ขณะเดียวกันมีประชาชนจำนวนไม่น้อย รีบถอนเงินสดมาเก็บไว้กับตัว เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงที่อยู่เหนือการควบคุมของตน หลังได้รับทราบข้อมูลจากหลายๆ กรณีที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ อาทิ
ผู้ใช้รายหนึ่งถูกอายัดบัญชีเพียงเพราะมีการโอนเงินเข้ามาแค่ 860 บาท แต่กลับถูกล็อคซ้ำซ้อนจนไม่สามารถปลดได้
แม่ค้าออนไลน์ถูกอายัดเงินกว่า 169,000 บาททั้งก้อน เพียงเพราะลูกค้าที่ไม่รู้จักโอนเงินมาแล้วถูกตีตราว่าเป็นบัญชีม้า และยังมีแม่ค้าอีกรายที่ต้องใช้เวลาร่วมสองเดือนกว่าจะปลดบัญชีได้ ต้องหอบเอกสารหนักเกือบยี่สิบกิโลกรัมไปยื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียเงินค่าปริ๊นท์และค่าเดินทางรวมเป็นหมื่นบาท
กรณีเหล่านี้สะท้อนปัญหาของระบบที่เลือกอายัดทั้งบัญชี แทนที่จะเฉพาะยอดเงินต้องสงสัย และทำให้ผู้สุจริตกลายเป็นผู้เสียหายโดยตรง
จุดเริ่มต้นของมาตรการนี้เกิดจาก พ.ร.ก.อาชญากรรมทางเทคโนโลยีปี 2566 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สั่งอายัดบัญชีต้องสงสัยได้ทันทีเพื่อป้องกันการฟอกเงิน แต่เมื่อระบบขยายวงตรวจสอบไปยังทุกบัญชีที่รับโอนจากบัญชีต้องสงสัย จึงกลายเป็นการเหวี่ยงแหที่กระทบประชาชนทั่วไปโดยไม่ตั้งใจ จนเป็นที่มาของคำถามว่าทำไมไม่อายัดเฉพาะยอดที่เกี่ยวข้อง เพราะการอายัดทั้งบัญชีย่อมกระทบต่อการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักกฎหมายหลายคนออกมาวิจารณ์ประเด็นนี้อย่างหนัก โดยทนายเดชา ระบุว่าการอายัดแบบเหวี่ยงแหถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน
ทนายเจมส์ LK เสนอว่าควรอายัดเฉพาะยอดเงินที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ทั้งบัญชี และทนายรณรงค์ ย้ำว่าหากไม่มีคำสั่งศาลหรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แต่ธนาคารกลับรีบอายัดเอง ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งเจ้าของบัญชีสามารถฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายได้ทันที
เสียงวิพากษ์เหล่านี้ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของระบบอายัดบัญชีในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เบื้องหลังที่ถูกเปิดเผยในโซเชียล โดยผู้ที่อ้างตนว่าเป็น “ร้อยเวรคนหนึ่ง” ยิ่งตอกย้ำถึงความบกพร่องของมาตรการนี้ เพราะเพียงมีผู้โทรเข้า 1441 แจ้งว่าบัญชีโกง ธนาคารก็จะอายัดทันที 3 วันโดยไม่ต้องมีหลักฐานอื่น
จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งเข้าระบบออนไลน์ ก่อนถูกแปลงเป็น “หมาย H” โดยกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อสั่งอายัดไปยังธนาคารทุกแห่ง และธนาคารก็เลือกเองว่าจะอายัดบัญชีใดในเส้นทางเงิน แต่เมื่อได้รับการสอบถามจากเจ้าของบัญชีที่ถูกอายัด กลับโยนให้ไปติดต่อตำรวจ หรือต้องติดต่อธนาคารซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เจอคำตอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นคนที่ต้องวิ่งหาทางออกท่ามกลางความมืดมน
แรงกดดันจากสังคมทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องประกาศนัดประชุมด่วนเพื่อปรับปรุงกระบวนการอายัดและปลดอายัดบัญชีให้มีความแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ถือเป็นก้าวแรกที่หน่วยงานรัฐแสดงความรับผิดชอบต่อเสียงเรียกร้องจากประชาชน
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามต่อไปว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะจากช่องทางร้องเรียนอย่างศูนย์ AOC โทร 1441 กด 2 และสายด่วนธปท. 1213 ที่ถูกประกาศเป็นกลไกช่วยเหลือนั้น เป็นที่วิพากษ์ว่าทำงานไร้ประสิทธิภาพ หลังผู้เสียหายจำนวนมากระบุว่าโทรไม่ติด หรือเมื่อรับสายก็ถูกโยนเรื่องไปมา สุดท้ายต้องรอโดยไม่รู้ว่าจะได้คำตอบเมื่อไร
ปัญหานี้ยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเงินดิจิทัลที่เคยถูกโปรโมตว่า “สะดวก ปลอดภัย” แต่วันนี้กลับถูกมองว่าเป็น “บ่วงล่ามคอคนสุจริต”
ยิ่งมีกระแสวิจารณ์จากเพจชื่อดังอย่าง Drama-addict และ POLICETV ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมา ยิ่งทำให้สังคมจับตาอย่างใกล้ชิด
ดราม่า “อายัดบัญชี” ครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางเทคนิค แต่สะท้อนถึงความไม่สมดุลของนโยบายที่มุ่งเน้นปราบปรามอาชญากรรมจนละเลยสิทธิของผู้สุจริต หากไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ความเชื่อมั่นในระบบโอนเงินและสแกนจ่ายของไทยอาจถดถอย และประชาชนอาจเลือกกลับไปใช้เงินสดเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัล
#อายัดบัญชี #บัญชีม้า #โอนเงิน #สแกนจ่าย #สิทธิประชาชน #ธปท #ข่าวการเงิน #DramaAddict #การเงินดิจิทัล