ร้อนไฟลุก เดือดไปแล่บ ณ จุดนี้รับรองว่าไม่มีเรื่อไหน เกินไปกว่า กระแสต่อต้าน “เปิดด่าน” ชายแดนไทย-กัมพูชา จากพี่น้องประชาชน ทั้งในพื้นที่ตลอดจนผู้คนในสังคม ที่แสดงพลัง ประกาศจุดยืน ไม่เพียงแต่ไม่สนับสนุนไม่ให้ “เปิดด่าน” ชายแดนไทย-กัมพูชา เท่านั้น แต่ปรากฎว่า จนถึงวันนี้ แรงต้านยังไม่ลดรา !
นับจากวันเจรจาหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ระหว่าง ไทยกับกัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ซึ่งมี “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเชียน เป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวก การเจรจาในวันดังกล่าว เกิดขึ้นในรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” แต่ปรากฎว่ากว่าจะถึงเส้นตายหยุดยิง ทหารกัมพูชา ยังยิงเข้าใส่ทหารไทย เลยกว่ากำหนดที่วางเอาไว้ เวลาเที่ยงคืน
หมายความว่าการหยุดยิงสำหรับฝั่งกัมพูชา ไม่มีจริง ยิ่งตอกย้ำทำให้ทั้งประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทั้ง 7 จังหวัด และทหารไทยเฝ้าระวังสถานการณ์กันมานับจากวันให้หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานับจากวันที่เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา จนมาถึงการเจรจาหยุดยิง ด้วยเงื่อนไข 13ข้อในการประชุมที่มาเลเซีย ดูเหมือนว่าไม่ได้ทำให้ ฝ่ายไทย วางใจกัมพูชาได้แตอย่างใด ชาวบ้านในพื้นที่ ที่เพิ่งผ่านความสูญเสียทรัพย์สิน และคนในครอบครัว สะท้อนความเห็นออกมาในทิศทางเดียวกันว่าขอให้กองทัพจัดการกัมพูชาให้จบ และไม่ต้อง “เปิดด่าน” จนกว่าจะมั่นใจได้ว่า กัมพูชาจะแสดงความจริงใจ
ล่าสุดเกิดความเคลื่อนไหวจากฝ่ายประชาชน หรือแม้แต่ “ทหาร”ในกองทัพ ด้วยกันเอง ทันทีที่ต่างพากันต่อต้านความคิด ให้มีการ “เปิดด่าน” ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อประเด็นนี้ ออกมาจาก “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่าที่รมว.กลาโหม ซึ่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี เพิ่งแถลงเปิดตัวกับสื่อไปหมาดๆ บนความเชื่อมั่น ว่าการเลือกเอา “บิ๊กทหาร” เข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง รับมือกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยืดเยื้อ น่าจะเป็นการดี และเหมาะสมที่สุด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในห้วง 1-2 วันที่ผ่านมา กำลังทำให้ “รัฐบาลใหม่” เจอกับแรงกดดันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตัวพล.อ.ณัฐพล เอง
9 ก.ย.68 ที่ผ่านมา พล.อ.ณัฐพล ยกคณะบินไปร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ที่จ.ตราด เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการผลการประชุมจีบีซี ที่ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งข้อตกลงหยุดยิง
ในการประชุมGBC รอบนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบข้อตกลงร่วมกัน ทั้งสิ้น 5 ข้อได้แก่
1.การถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติ
2.การเก็บกู้วัตถุระเบิด จะมีการตั้งคณะประสานงานร่วม ประกอบด้วย ฝ่ายเลขานุการจีบีซี และฝ่ายกัมพูชา ภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนเก็บกู้ระเบิดและแผนนำร่องตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มดำเนินการทันทีภายใน 1 เดือน
3.การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งคณะทำงานภายใน 1 สัปดาห์
4.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะกรณีบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทยกัมพูชา หารือเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว
5. การหารือการผ่อนปรนผ่านแดนบางประเภท บางจุด และระหว่างที่สถานการณ์ไม่เป็นปกติ เพื่อลดผลกระทบภาคธุรกิจ การขนส่งข้ามแดน โดยมอบหมายให้กลไกRBC ไปหารือความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าจุดผ่านแดนบางจุดที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง โดยอาจเริ่มดำเนินการที่จุดผ่านแดนถาวรจันทบุรีและตราด
ทันที ที่เรื่องการเปิดด่าน ปรากฎออกมา ได้เกิดปฏิกิริยาโต้กลับ สวน “บิ๊กเล็ก” ทันที เพราะที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องให้ฝั่งไทย “ปิดด่าน” เพื่อใช้เป็นมาตรการกดดันฝั่งกัมพูชามาตั้งแต่แรก ดังนั้นเมื่อมีการส่งสัญญาณออกมาเช่นนี้ “ทัวร์” จึงไปลงที่ว่าที่รมว.กลาโหม อย่างรุนแรง เพราะการทำเช่นนั้นเท่ากับลบล้าง “ข้อได้เปรียบ” ที่ทหารไทย โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 2 ดำเนินการมาก่อนหน้านี้
หน้าเพจเฟสบุก “สนามไชย 2” ซึ่งใช้เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารของบิ๊กเล็ก ถูกถล่มอย่างหนัก ทั้งความจริงใจการแก้ปัญหาไปจนถึง การตั้งคำถามว่า ทหารไทยที่เสียชีวิต บาดเจ็บและพิการ สู้เพื่อปกป้องอธิปไตย ที่ผ่านมา จะไม่สูญเปล่าอย่างนั้นหรือ ?
นอกจากนี้ในการให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งพล.อ.ณัฐพล ยังบอกกับสื่อว่า “ประเทศที่สาม” คือประเทศญี่ปุ่น กดดันให้มีการเปิดด่าน เพราะได้รับผลกระทบในเชิงธุรกิจ
และคงไม่ต้องคาดเดา เพราะปรากฎว่าไม่ทันข้ามวัน คนไทยพากันบุกเข้าคอมเมนต์ ถล่ม ญี่ปุ่นหน้าเพจ Embassy of Japan in Thailand สถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย อย่างรุนแรง ทั้งตั้งคำถามกลับว่าญี่ปุ่นกำลังแทรกแซง ปัญหาไทย-กัมพูชาหรือไม่ หรือนี่คือมหามิตรของไทยอย่างนั้นหรือ ?
นอกจากนี้ “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่าขอให้คิดดีๆหากจะมีการเปิดด่าน เพราะแม้แต่ชาวบ้านในพื้นที่ เขายังประกาศเลยว่าแม้จะกระทบกับปากท้อง แต่จะไม่มีใครยอมเสียดินแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครจะไว้ใจเขมร
“ เป็นคำถามที่คนไทยอยากทราบ ตนมองว่าคนไทยทำไมต้องมาเถียงเรื่องเปิด-ปิดด่าน เพราะ เรื่องนี้สำคัญ เพราะการเปิด-ปิดด่านส่งผลต่อเศรษฐกิจของเขมร เพราะทรัพยากรสินค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย
ซึ่งการปิดด่านทำให้คนไทยไม่สามารถไปเล่นการพนันได้ และทำให้คนข้ามไปเป็นสแกมเมอร์ไม่ได้ ต้องยอมรับว่า คนไทยบางส่วนข้ามไปเขมรเพื่อไปทำหน้าที่หลอกลวงทางโซเชียลมีเดียกับคนไทยด้วยกันเอง” (11 ก.ย.68 / ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา)
จากเสียงต่อต้านของคนไทย นักการเมือง ตลอดจนนักวิชาการ มองว่า ไทยยังไม่สมควรเปิด่าน จนกว่าจะบรรลุข้อตกลง โดยเฉพาะเรื่องที่ให้ กัมพูชามาร่วมเก็บทุ่นระเบิด
อย่างไรก็ดีจากกระแสต่อต้านแนวคิดให้มีการเปิดด่านอย่างรุนแรง และกำลังขยายวงกว้างออกไป เช่นนี้ แม้ล่าสุด พล.อ.ณัฐพล ต้องออกมาชี้แจงว่ายังไม่มีการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า สถานการณ์เช่นนี้ ว่าที่รมว.กลาโหม กลับถูกตั้งคำถาม และถูกโจมตีอย่างหนัก
ผลกระทบจากความมั่นคง ที่หลายฝ่ายเคยคาดหวังว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จาก “แพทองธาร ชินวัตร”มาสู่ยุค “อนุทิน 1” ไทยน่าจะได้คนที่เข้าใจ หัวจิต หัวใจของพี่น้องประชาชนและความสูญเสียของทหารหาญ อย่างพล.อ.ณัฐพล คนที่อนุทิน ประกาศว่าไม่อยากเปลี่ยนม้ากลางศึกและให้อำนาจเต็มที่ มาหมาดๆ
แต่วันนี้กลับมีเสียงเรียกร้องให้ เปลี่ยนตัว “สนามไชย 1” กันตั้งแต่ยังไม่ทันเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียแล้ว !!