ประเดิมนโยบายเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจกับอายุ “รัฐบาลอนุทิน” ที่ประกาศว่าจะบริหารประเทศในเวลา 4 เดือน กับ โครงการ “คนละครึ่ง 2568” ในรูปแบบ "คนเสียภาษี" ได้สิทธิ 60 : 40 ส่วน "ประชาชนทั่วไป" ได้สิทธิ 50:50
เรื่องนี้ "กระทรวงการคลัง" ออกมารับลูกแสดงความพร้อมที่จะลุยทำโครงการทันที หากมีนโยบายออกมาชัดเจน เพราะขณะนี้มีความพร้อมทั้งในส่วนระบบ งบประมาณ และความเหมาะสมต่อสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
โดยเฉพาะ “นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ว่าที่ รมว.คลัง ระบุ หากไม่กระทบวินัยการเงินหรืองบประมาณและช่วยเหลือประชาชนได้ แต่จะออกไปในรูปแบบ 60:40 เพื่อจูงใจกลุ่มคนที่เสียภาษี ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เสียภาษีอยู่แล้ว แต่หากเป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เสียภาษีก็ 50:50
เช่นเดียวกับ “นายลวรณ แสงสนิท” ปลัดกระทรวงการคลัง ที่ยืนยันว่า หากมีนโยบายสามารถดำเนินการได้ทันที และการดำเนินการได้เร็ว ก็ต้องผ่านแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันเป๋าตัง ที่ในอดีตเคยดำเนินการ ส่วนงบประมาณนั้น หากโครงการเริ่ม 1 ต.ค.68 สามารถดำเนินการจัดทำโครงการโดยใช้งบประมาณปี 2569 ได้ จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีวงเงินอยู่ 2.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามถ้ามีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณมากกว่านั้น สามารถปรับเปลี่ยนโยกงบจากงบประมาณกลางได้
สำหรับคุณสมบัติของผู้ร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” ได้แก่ 1. มีบัตรประจำตัวประชาชน และเป็นบุคคลสัญชาติไทย และ2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่เปิดรับลงทะเบียน
และหากใครมีแอปเป๋าตังอยู่แล้วอย่าเพิ่งลบแอปฯ ออกไป ส่วนใครยังไม่มีแอปเป๋าตังฯ สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งรอไว้ล่วงหน้าได้เลยเพราะ คนละครึ่ง 2568 เริ่มโครงการเฟสใหม่แน่นอน โดยสามารถใช้ได้ทั้ง APP Store หรือ Google Play หรือ Play Store รองรับโทรศัพท์ที่ใช้ Android 9.0 ขึ้นไป หรือ iPhone ที่มี iOS 15.0 ขึ้นไป โดยพิมพ์ค้นหา “เป๋าตัง” ในช่องค้นหา ติดตั้งแอปฯเป๋าตัง พร้อมเปิดใช้งาน
ขณะที่ในมุมมองของนักวิชาการ “ธนวรรธน์ พลวิชัย” ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4/68 หากมีการเริ่มใช้โครงการ "คนละครึ่ง" ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 70,000-100,000 ล้านบาท ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โตได้ 2-3% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยปีนี้ โตได้ไม่ต่ำกว่า 2.5%
"โครงการคนละครึ่ง ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณในเฟสแรก 2.5 หมื่นล้านบาทนั้น จะเป็นหลักประกันว่าทำให้มีเม็ดเงินลงไปหมุนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาท และจะมีเงินเติมลงไปจากภาคประชาชนที่มีเงินออมเหลือ ซึ่งรวมแล้วอาจจะเป็น 7 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย เงินเหล่านี้จะถูกใช้จ่าย คนที่มีรายได้น้อยจะใช้หมดเต็มวงเงินตามเงื่อนไข ร้านค้าจะสั่งวัตถุดิบในพื้นที่ทันที ดังนั้นสารตั้งต้นที่ 2.5 หมื่นล้านบาท อาจจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจได้ประมาณ 70,000-100,000 ล้านบาทในเบื้องต้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โตเพิ่มจากเดิมได้อีก 1-2% ได้ และทำให้ครึ่งปีหลังอาจจะโตได้ 2.2-3% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้ว มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 2.5% หรืออาจมากกว่านั้น ดังนั้นการใช้นโยบายคนละครึ่งในช่วงไตรมาส 4 จึงเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจได้" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมเสนอว่า หากรัฐบาลใหม่ทำโครงการ "คนละครึ่ง" 2 เฟส ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มเม็ดเงินที่ลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้นอีกจากเฟสแรก ที่คาดว่า 70,000-100,000 ล้านบาท และเฟส 2 อีก 100,000 - 150,000 ล้านบาท ก็จะเป็นโมเมนตัมสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในปี 69 ซึ่งถ้ายังมีการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เป็นแรงหนุนต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/69 ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลายุบสภาในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งเพียงพอเพื่อรองรับกับการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 69 มีโอกาสที่จะโตได้ในกรอบ 2.5-3.0%
ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และปี 69 โดยใช้สมมติฐานว่าการเมืองไทยในขณะนี้มีเสถียรภาพไปจนกว่าจะมีการยุบสภา โดย ณ ปัจจุบัน ม.หอการค้าไทย ยังประเมินในมุมมองเดิมว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีโอกาสเติบโตได้ 2% หรือบวก/ลบ จากนี้ได้อีกเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวได้แล้ว 3%
การขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง” เป็นเรื่องที่น่าจับตามอง
สร้างภาพลักษณ์ในระยะเวลาอันสั้น ลุ้นผลลัพธ์ว่าจะออกอย่างไร!?!