คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ขณะที่ผู้นำทางฝั่งค่ายตะวันตกออกเดินทางเพื่อเข้าร่วมผนึกพลังกับ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ณ ทำเนียบขาว อยู่เป็นระยะๆก็ตาม แต่ในทางกลับกันบรรดาผู้นำที่อยู่ในค่ายฝั่งตะวันออกก็ค่อยๆทยอยไปร่วมผนึกพลัง โดยยึดเอาจีน เป็นศูนย์กลาง
ล่าสุดระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม 2025 ไปจนถึงวันที่ 1 กันยายน 2025 นี้ ผู้นำของ 3 ประเทศมหาอำนาจใหญ่สุด ที่มิได้สังกัดกับค่ายตะวันตกนั่นก็คือ จีน รัสเซีย และ อินเดีย ที่ได้ผนึกพลังร่วมกันประชุมสุดยอดที่ประเทศจีน โดยประเทศมหาอำนาจทั้งสามดำริต้องการที่จะจัดระเบียบโลกครั้งใหม่!!!
ทั้งนี้กลุ่มประเทศในแถบทวีปเอเชียที่เข้าไปร่วมประชุมมีเกือบทุกประเทศ เช่น กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย และ เวียดนาม
การประชุมสุดยอดของ “องค์การความร่วมมือเซียงไฮ้” (Shanghai Cooperation Organization) ซึ่งมีจีนเป็นเจ้าภาพจัดมาแล้ว 5 ครั้งด้วยกัน
องค์การความร่วมมือเซียงไฮ้ ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 2000 โดยเริ่มแรกมีจีน รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และ ทาจิกิสถาน เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดน แต่ต่อมาองค์การนี้ได้เปิดโอกาสให้จีนรับบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ เพื่อต้องการที่จะส่งเสริมการจัดระเบียบระหว่างประเทศทั้งทางด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ
ในปีนี้การประชุมสุดยอดจัดขึ้นที่เทียนจิน ประเทศจีน โดยครั้งนี้อินเดียเข้ามาร่วมรับบทบาทสำคัญที่จะมีส่วนช่วยทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่าง “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” และ“ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”เพิ่มมากขึ้น
โดยจุดเด่นของการประชุมสุดยอดครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะจัดตั้งธนาคาร เพื่อใช้ในการพัฒนาองค์การนี้ขึ้นมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนเงินทุนสำหรับโครงการพื้นฐานและโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาจีนพยายามที่จะจัดตั้งธนาคารขององค์การนี้มาแล้วนานกว่าทศวรรษ แต่ในช่วงต้นๆประเทศรัสเซียพยายามอย่างมากที่จะขัดขวาง
แต่ปรากฏว่าขณะนี้รัสเซียกลับต้องการที่จะพึ่งพาและต้องการการสนับสนุนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านการเงิน และทางด้านการทหาร โดยจะเห็นได้ว่าขณะนี้รัสเซียต้องการที่จะได้รับความสนับสนุนจากประเทศจีนมากขึ้นอย่างค่อนข้างเด่นชัด!!!
ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แสดงบทบาทการเป็นผู้นำได้อย่างยอดเยี่ยมชัดเจน
โดยเขาแสดงเจตน์จำนงค์ต้องการที่จะให้มีการจัดระเบียบระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ออกมาแสดงท่าทีในทำนองที่ว่า ขณะนี้จีนมีความพร้อมในทุกๆด้านแถมยังมีความเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในกรณีของอินเดียนั้น นับตั้งแต่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ออกมาเอ่ยปากข่มขู่ป่าวประกาศต่อนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่า หากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย สหรัฐฯก็จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียสู่สหรัฐฯที่เคยมีอยู่ที่ 25% ขึ้นเป็น 50% ก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีโมดี ก็มิได้สนใจใยดีออกมาแสดงท่าทีในทำนองว่า “จะทำอะไร ก็เชิญตามสบาย” ซึ่งนับเป็นจุดแตกหักอย่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็คาดการณ์ไม่ถึงมาก่อน
ต่อจากนั้นอินเดียยังหันไปผนึกพลังร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และ “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน” แห่งรัสเซีย เท่ากับว่า การร่วมจับมือกันของทั้ง 3 ผู้นำแห่งประเทศมหาอำนาจฟากฝั่งตะวันออกในครั้งนี้เป็นไปอย่างแน่นแฟ้น!!!
การจับมือของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับประธานาธิบดีปูติน และ นายกรัฐมนตรีโมดี ในการประชุมสุดยอดที่ประเทศจีนครั้งนี้ นับเป็นการสื่อความหมายอย่างมากมายถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น จากการประชุมสุดยอดของสามผู้นำประเทศมหาอำนาจนี้ เท่ากับเป็นการแสดงออกถึงการประกาศท้าทายต่อประธานาธิบดีทรัมป์โดยตรง ในทำนองที่ว่า “ต่อไปนี้คุณไม่มีอำนาจสั่งการฉันได้อีกแล้ว”
และในโอกาสกล่าวเปิดประชุม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวโจมตีสหรัฐอเมริกาอย่างไม่แยแสอย่างที่แสนจะแยบยล โดยเขากล่าวในทำนองที่ว่า “สงครามเย็นที่กำลังมีต่อสหรัฐฯก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง” และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถบงการประเทศต่างๆแต่เพียงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป”
สำหรับความร่วมมือกับประเทศอินเดียนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวว่า “การที่จีนร่วมจับมือกับอินเดียในครั้งนี้ มิใช่เป็นการแข่งขัน แต่เป็นความร่วมมือในฐานะเป็นหุ้นส่วนและยังเป็นพันธมิตรอันดีต่อกันอีกด้วย”
สำหรับนายกรัฐมนตรีโมดี ก็ได้กล่าวตอบกลับว่า “อินเดียมีความยินดีและมีความกระตือรือร้นที่จะต้อนรับประธานาธิบดีปูตินในการเยือนอินเดีย ในเดือนธันวาคม 2025นี้” และเขายังกล่าวเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “อินเดียพร้อมที่จะร่วมมือเคียงบ่าเคียงไหล่กับรัสเซียในเชิงกลยุทธ์พิเศษ”
นายกรัฐมนตรีโมดียังได้กล่าวอีกว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปอินเดียมีทางเลือกในการกำหนดนโยบายของตนเองแล้ว” การประชุมสุดยอดครั้งนี้ได้ ตามติดมาด้วยการเดินสวนสนามครั้งยิ่งใหญ่ของทหารหาญชาวจีน ณ กรุงปักกิ่ง สืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต้องการที่จะแสดงแสนยานุภาพครั้งยิ่งใหญ่
สำหรับบทบาทของรัสเซียในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ นับว่าประธานาธิบดีปูตินมิได้โดนทอดทิ้งให้อยู่แบบโดดเดี่ยวเหมือนดังครั้งที่รัสเซียเข้าบุกยูเครนเมื่อ 3 ปีก่อนอีกต่อไป โดยขณะนั้นจะเห็นได้ว่าสถานะของประธานาธิบดีปูติน แห่งรัสเซีย เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ โดดเดี่ยว โฮมอะโลน
และอาจจะสืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีทรัมป์ เกิดความไม่พึงพอใจที่ขณะนี้อินเดียเปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง เขาจึงยกเลิกหมายกำหนดการณ์ที่จะเดินทางไปเยือนอินเดียในปีนี้ออกไป!!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการประชุมสุดยอดของ “องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้” ที่จัดขึ้นในปีนี้ ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการออกมาแสดงความสามัคคีต่อกันระหว่าง “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”, “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน” และ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” เพิ่มมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ซึ่งการกระทำเยี่ยงนั้น “ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์” คงจะตระหนักได้ดีแล้วว่า ขณะนี้สหรัฐอเมริกากำลังจะสูญเสียทั้งอินเดียและรัสเซียให้กับจีน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ล่อแหลมอันตราย แต่ที่แน่ๆและเป็นเรื่องที่ทั่วโลกต่างประจักษ์กันดีว่า ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้นำที่กำลังดำเนินนโยบายทำให้สหรัฐฯเสื่อมถอยในเวทีโลกอยู่ละครับ