พ้นจากยุคขัดแย้ง! “นพ.เปรมศักดิ์” ในฐานะผู้ยื่นญัตติต่อศาลรัฐธรรมนูญ เผยแนวทางสันติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จตามคำวินิจฉัยของศาลฯ วอนสว.ร่วมมือให้ประเทศเดินหน้า ไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอย พร้อมเสนอแนวทางการทำประชามติ 3 ครั้ง (รวมครั้งแรก 2 ครั้ง) และการเลือก ส.ส.ร. แบบทางอ้อมใช้โมเดลปี 40 เคยใช้ได้ผลมาแล้วปี 40 คาดใช้เวลา 2 ปี พร้อมเรียกร้องให้วุฒิฯเร่งหารือในวันที่ 15 ก.ย. นี้ เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อประชาชน!
วันที่ 12 ก.ย.2568 เวลา 14.00 น.ที่รัฐสภา นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ในฐานะผู้ยื่นญัตติต่อรัฐสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) แถลงว่าจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ 3 พรรคการเมืองต่างๆมีมติร่วมกันเมื่อวันที่ 11 ก.ย.จะขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องอาศัยการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวุฒิสมาชิกจะต้องให้ความเห็นชอบอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด หรือประมาณ 67 ท่าน จึงจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ ดังนั้นในฐานะสว.และผู้ยื่นญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือขอให้ประธานวุฒิสภาเร่งดำเนินการปรึกษาหารือในที่ประชุมวุฒิสภาวันจันทร์ที่ 15 ก.ย.นี้ เพื่อให้สังคมเห็นว่าวุฒิสภาไม่ได้นิ่งเฉยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และพร้อมร่วมมือขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ดียิ่งขึ้น
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า หากมีการปรึกษาหารือในวันที่ 15 ก.ย.ก็จะมีการระดมความคิดเห็นจากสว.ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และหากมีวุฒิสมาชิกเห็นชอบ 1 ใน 3 ก็จะสามารถนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างสมบูรณ์ในประเด็นการทำประชามติ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าสามารถทำได้ 3 ครั้ง แต่สามารถรวมครั้งที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกันได้ ผู้เสนอเห็นชอบและเสนอให้ทำประชามติ 2 ครั้ง โดย ครั้งที่ 1 (รวมคำถามที่ 1 และ 2) ควรทำพร้อมกับการเลือกตั้งสส. ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือนมี.ค. หรือเม.ย.ปี 2569 หลังจากการยุบสภาครบ 4 เดือน คำถามควรจะให้ประชาชนแสดงเจตจำนงว่า เห็นควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และ การทำประชามติเนื้อหาและวิธีการนั้นเห็นสมควรเป็นอย่างไร
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการได้มาซึ่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. นั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า จะต้องไม่มาจากผู้ที่เลือกจากประชาชนโดยตรง จึงเสนอแนวทางการเลือกทางอ้อมเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด โดยให้ประชาชนนำเสนอรายชื่อจากแต่ละจังหวัด แล้วให้สมาชิกรัฐสภาเลือกในที่ประชุมรัฐสภาจังหวัดละ 1 คน และมีผู้ทรงคุณวุฒิในด้านรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์อีก 23 ท่าน ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยใช้ได้ผลกับการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ปี 2540 มาแล้ว หลังจากเลือก ส.ส.ร. ทางอ้อมแล้ว ส.ส.ร. จะมีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญตามกำหนดเวลา และเมื่อร่างเสร็จสิ้นจะนำมาให้สมาชิกรัฐสภาเห็นชอบหรือไม่ก่อนจะนำไปสู่การทำประชามติครั้งที่ 3 ของประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่มาจากความต้องการแท้จริงของประชาชน ระยะเวลาในการดำเนินการทั้งหมดนี้ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ อาจใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก็ไม่เสียหาย
“ผมหวังว่าวุฒิสภาจะไม่นิ่งดูดาย หรือปล่อยให้เป็นกระแสเฉพาะสภาฯ เพราะหากท่าทีไม่ชัดเจน อาจถูกมองว่าละเลยเพิกเฉย หรือไม่ได้ให้ความสำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของวุฒิสภาได้ การปรึกษาหารือเบื้องต้นในวุฒิสภาจะช่วยจุดประกายความสนใจในเรื่องนี้ และเมื่อญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกเสนอในที่ประชุมรัฐสภา วุฒิสมาชิกก็มีหน้าที่ต้องเข้าร่วมประชุมอภิปราย และลงมติ วิกฤตรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นครั้งใด ก็เป็นวิกฤตที่ประเทศชาติต้องเผชิญกับความสูญเสียหลายๆ อย่าง และกระทบต่อประชาชนในที่สุด และหวังว่าจะได้เริ่มต้นด้วยความสมานฉันท์ที่ดี โดยเฉพาะเมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาลแล้ว วุฒิสมาชิกก็น่าจะร่วมขบวนไปด้วยกัน การแก้ไข Deadlock ในประเด็นนี้ถือเป็นการแก้ไขที่ดี ทำให้ประเทศไทยมีทางออกที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน และไม่ต้องเกิดวิกฤตในการแก้ไขรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเรียกร้องให้ทุกคนมองประเทศชาติและสังคมที่รอคอยการแก้ปัญหา และอาจจะต้อง "สละอำนาจ" ในส่วนนี้ออกไป เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำอีก”นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว