ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

คนไทยกับพระมหากษัตริย์มีความสัมพันธ์กันสนิทแน่น ด้วย “พระเมตตา” อันไพศาลที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์

เหตุการณ์วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นถือกันว่าเป็นวัน “เริ่มต้น” ของประชาธิปไตยในยุคใหม่ ด้วยชัยชนะของเหล่านิสิตนักศึกษาที่มีต่อเผด็จการทหาร ทำให้นิสิตนักศึกษาและคนรุ่นใหม่มีความรู้สึก “ลำพองตน” ว่าเป็นคนที่ทำลาย “การเมืองเก่า” และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะเป็นผู้นำในการสร้าง “การเมืองใหม่” ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ ความรู้สึกแบบนี้นี่เองที่ทำให้การเมืองไทยมีความยุ่งเหยิงวุ่นวายมาโดยตลอด แม้แต่ในเวลาปัจจุบัน พวกคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ก็ยังมองทหารไปในแนวทางที่เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยเสมอมา โดยพยายามจะแยกทหารออกจากการเมือง

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าถึงนิสิตนักศึกษาในครั้งนั้นว่า มีผู้นำนักศึกษาบางคนมาพบท่านที่บ้านสวนพลู ตอนนั้นท่านได้รับเลือกจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้เป็นประธานสภาแล้ว ผู้นำนักศึกษากลุ่มนั้นมาเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องให้มีการจัดการกับทหารที่ทุจริตโกงกินและเข่นฆ่าประชาชนในเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 นั้นด้วย ท่านก็บอกว่าเรื่องการเอาผิดในเรื่องทุจริตของทหาร รัฐบาลของท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ก็กำลังดำเนินการอยู่ ส่วนเรื่องการเข่นฆ่าประชาชน เป็นเรื่องของเหตุการณ์จลาจล ที่จะต้องแยกแยะว่าใครผิดใครถูกเสียก่อน ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่ากลุ่มผู้นำนักศึกษาไม่ค่อยพอใจ มองว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ประนีประนอม หรือ “ยอม” ให้กับทหาร

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า ที่จริงในวันนั้นท่านอยากจะบอกกับกลุ่มผู้นำนักศึกษาว่า การแก้ปัญหาของประเทศไทยในภาวะวิกฤตินั้น ต้องกระทำภายใต้ความเมตตา แต่ดูเหมือนอารมณ์ของนักศึกษาที่มาพบในวันนั้นไม่อยู่ภาวะที่จะรับฟังเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าทำไมจึงปล่อยให้ผู้นำทหารที่ต้องรับผิดในเหตุการณ์ครั้งนั้นเดินทางออกนอกประเทศไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าท่านพูดไปก็อาจจะกระทบถึงบทบาทของพระเจ้าอยู่หัว ที่เป็นผู้ทรงใช้ “พระเมตตา” เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหา

อีก 19 ปีต่อมา เราก็ได้เห็นบทบาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในการแก้ไขวิกฤติของบ้านเมืองอีกครั้ง ที่ทรงกระทำด้วยพระเมตตาคล้ายกันกับที่ทรงกระทำเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 นั่นก็คือทรงเข้าระงับการจลาจลในบ้านเมืองในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 โดยไม่ได้ทรงให้เอาผิดแก่ใครเช่นกัน และดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถแยกทหารออกจากการเมืองไปได้ มิหนำซ้ำทหารดูจะเข้ามามีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เคยแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สงบลง ว่าเป็นเพราะ “พระเมตตา” โดยแท้

พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ท่านเป็นศิษย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นแรกในสมัยที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นอาจารย์สอนที่นั่น และอาจจะถือได้ว่าเป็น “ศิษย์สวนพลู” คนหนึ่ง เพราะยังติดต่อและไปมาหาสู่กับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาอย่างสม่ำเสมอ จนถึงเมื่อท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถึงแก่อสัญกรรม ซึ่งผู้เขียนได้เห็นท่านมาบ้านสวนพลูอยู่บ่อย ๆ รวมทั้งใน พ.ศ. 2551 - 2552 ก็ได้ไปร่วมงานในคณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนของตำรวจ กับคณะกรรมการปฏิรูประบบงานตำรวจ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ท่านเป็นประธานคณะกรรมการทั้งสองคณะ ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ให้ฟังในครั้งหนึ่ง โดยท่านบอกว่าเป็นด้วย “พระเมตตา” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชโดยแท้

ตอนนั้นพลตำรวจเอกวสิษฐเป็นนายตำรวจราชองครักษ์รักษาพระองค์ ในคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2516 มีกลุ่มนักศึกษาที่นำประชาชนมาชุมนุมอยู่โดยรอบพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว โดยแจ้งข่าวว่าจะมีทหารมาทำร้ายและแยกสลายผู้ชุมนุม จึงจะขอพระบารมีคุ้มครอง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งก็มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้นหลายท่าน ทั้งทหารและตำรวจ รวมถึงพลตำรวจเอกวสิษฐร่วมรับฟังอยู่ด้วย กลุ่มตัวแทนนักศึกษาก็ขอพระราชทานพระราชวินิจฉัยในหลายเรื่อง อันนำมาสู่การประกาศชัยชนะของนักศึกษาในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2516

พระราชวินิจฉัยในครั้งนั้นก็คือ พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วยที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จภายใน 6 เดือน แล้วจัดการเลือกตั้งให้ได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจรก็ยินยอม อย่างไรก็ตามพอผู้นำนักศึกษาประกาศชัยชนะนี้แล้ว และได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมนับหมื่นคนที่อยู่รอบ ๆ พระตำหนักแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้มีผู้ชุมนุมบริเวณทิศเหนือพระตำหนัก ด้านข้างเขาดินวนาเชื่อมต่อไปยังโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ได้ประทะกับการสกัดกั้นของตำรวจ ทำให้เกิดความวุ่นวาย แล้วขยายตัวเป็นการจลาจลออกไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและถนนราชดำเนิน มีการเผาสถานที่ราชการหลายแห่ง ทหารได้เอารถถังและเฮลิคอปเตอร์เข้าสกัดกั้นประชาชน มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ไปจนถึงตอนบ่ายที่ดูเหมือนผู้ชุมนุมจะล่าถอยเพราะสู้กับฝ่ายทหารตำรวจไม่ได้

ค่ำวันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงมีพระราชดำรัสถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์และวิทยุไปทั่วประเทศ ทรงขอให้ทุกฝ่ายไม่ทำร้ายกันและกัน และทรงให้จอมพลถนอม กิตติขจร ออกไปเสียจากประเทศ รวมถึงที่ทรงโปรดเกล้าฯให้ท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้คนทั้งประเทศที่ดูโทรทัศน์ในค่ำวันนั้นได้สังเกตเห็นว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัสสุชลคลอเบ้าพระเนตร อันแสดงถึงทรงโทมนัสอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

พลตำรวจเอกวสิษฐเล่าอีกว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้มี “สมัชชาแห่งชาติ” โดยให้เชิญผู้คนในหลาย ๆ สาขาอาชีพจากทั่วประเทศ จำนวน 2,500 คน และให้คนเหล่านี้มาเลือกกันเองให้ได้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน 299 คน เพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญคือการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสนับสนุนการออกกฎหมายให้กับรัฐบาล จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งสมัชชาแห่งชาตินี้นับว่าเป็น “ไอเดียใหม่” ที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อนในประเทศไทย อันมีขึ้นได้ด้วยพระราชดำริที่จะให้เกิด “ความสมานฉันท์” ให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทย หลังจากที่บ้านเมืองมีความบอบช้ำร้าวฉานเมื่อก่อนหน้านี้

แนวคิดหรือพระราชดำรินี้ได้รับคำชื่นชมจากนักวิชาการหลายคนในยุคนั้น เป็นต้นว่า ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช และท่านอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ ที่ได้เรียกแนวพระราชดำรินี้ว่า “ราชประชาสมาศัย” หมายถึง “การอยู่ร่วมกันของพระราชากับประชาชน” (ราช = พระราชา, ประชา = ประชาชน, สม + อาศัย = การอยู่ร่วมกัน) และเห็นว่าน่าจะเป็น “ทางรอด - ทางรุ่ง” ของประเทศไทยในยุคใหม่ ทั้งนี้ผู้เขียนที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ชัยอนันต์ใน พ.ศ. 2519 ได้อ่านพบในหนังสือรวมบทความของท่าน ชื่อ “ความคิดอิสระ” ได้ถามท่านว่า ในระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงต้องปลอดการเมืองไม่ใช่หรือ ซึ่งท่านอาจารย์ชัยอนันต์ก็ตอบว่า สำหรับประเทศไทย พระมหากษัตริย์ก็ทรงไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เมื่อประชาชนของพระองค์มีทุกข์ร้อน ก็เป็นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ หรือ “พระเมตตา” ที่จะทรง “ปัดเป่า” หรือแก้ไขปัญหาให้เป็นครั้งคราว แต่ถ้าประชาชนแก้ไขปัญหาได้เอง ก็ทรงเป็นขวัญและกำลังใจให้มั่นคงยั่งยืนตลอดไป

เรื่องพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กล่าวว่าในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2418 ท่านก็ได้รับรู้อยู่เสมอ ด้วยทรงมีพระราชดำรัสถามอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า ซึ่งเรื่องนี้ในระบบการเมืองอังกฤษ พระมหากษัตริย์จะต้องพระราชทานพระราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายรายงานราชการต่าง ๆ อยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราก็คงจะทรงปฏิบัติพระองค์อยู่ในแนวทางนั้น อันเป็นพระอัจฉริยภาพที่ควรสรรเสริญ

สังคมที่อยู่กันด้วยเมตตา คือคุณค่าที่สำคัญของบ้านเมือง และสังคมไทยก็มีสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างท่วมท้น โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำและปฏิบัติพระองค์เป็นเยี่ยงอย่าง