ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“..แรงเหวี่ยงทางความรู้สึก ที่กลั่นออกมาจากหัวใจ..ย่อม คือ สัมผัสรู้อันคมชัดและพุ่งตรงสู่เป้าหมายหลักแห่งนัยสำนึกอันเร้นลึกอยากจะปฏิเสธ..ไม่มีอะไรที่จักปกป้องความจริงที่อยู่เหนือความจริงไปได้หรอก..นอกจากรอยระอุแห่งสำนึกอันขื่นขมแห่งชะตากรรม ที่โบยกระหน่ำลงไปบนเนื้อนัยแห่งการจมปลักของชีวิตที่ไม่ยอมตื่นฟื้น..!
หากเราทุกคนประจักษ์ในสิ่งนี้..เราย่อมหยั่งเห็นตัวตนดั่ง “กวางเดียวดาย” ผู้ถูกล่าไล่ชีวิต เพื่อช่วงชิงสัญญะแห่งสุนทรียธาตุอันละเมียดละไมเหนือหัวแห่งจิตวิญญาณของมัน..
ณ วันนี้สรรพสัตว์ทั้งหลายมักถูกฆ่าเพื่อหักล้างชีวิต ด้วยจุดประสงค์เดียว..นั่นคือการช่วงชิงและประหัตประหารเอา “มายาคติ”..แห่งความเป็นตัวตนของตน... ทั้งโดยใครคนหนึ่ง และ..โดยใครและใครอีกฝูงหนึ่ง..อย่างปราศจากโอกาสที่จะส่งเสียงร้องเพื่อก่อเกิดสัญญาณแห่งความเป็น “ศานติ” ใดๆออกมา..!.
ดั่งนี้..โลกแห่งชีวิตของเรา..จึงคล้ายดั่งภาวะที่จำต้องตกอยู่ท่ามกลาง...!
“เสียงสวดมนต์ของคนใบ้/เมื่อเสียงถูกขโมยไปสู่แดนต้องห้าม/ลมหายใจจะเชื่อมโยงทุกโมงยาม/ในนามความจริงยังทิ้งร่องรอย./” ปฐมบทข้างต้น ...คือต้นธารแห่งสำนึกรู้อันเร้นลึกแต่มีคุณค่าต่อการถอดความชีวิตออกมาจากเปลือกแข็งแห่งอคติที่ห่มคลุมและปิดกั้นไว้..!
แรงขับแห่งบทกวีในแต่ละบท ..คือแรงส่งทางจิตวิญญาณที่.. “องอาจ สิงห์สุวรรณ” กวีหนุ่มผู้สร้างสรรค์ผลงานอันมีค่าอย่างต่อเนื่อง ด้วยรูปสัณฐานทางความคิดและอารมณ์ที่เคี่ยวกรำและเข้าใจ..
ผลงานแห่ง “บทกวี” ของเขาในเล่มนี้ทั้งหมด..จึงกอปรด้วยความจริง และความหมาย ที่ปักหัวฝังลึกอยู่กับ..มโนทัศน์ของผู้ที่ได้สัมผัสกับรวมบทกวีชุดนี้อย่างหนักแน่นแท้จริง..มันคือ “สัจจะแห่งมโนภาพใน..มโนภาพแห่งสัจจะ” อันยากจะปฏิเสธ..แท้จริง..!
“ในนามของวิวัฒนาการ/เปลี่ยนผ่าน ก้าวข้าม นิยามขยาย/จุดศูนย์กลาง หนึ่งตัวตน ต้นถึงปลาย/บีบ คลาย กว้าง แคบ เรียบง่าย แยบยล/”
ต้นทางและฟากความเป็นที่สุด/มิอาจหยุดยั้งทยอย รูป รอยย่าง/ของอดีต ปัจจุบัน จัดสรรวาง/เข้มในตน ข้นในต่าง ค่อยเติบโต/ “เสียงสวดมนต์ของคนใบ้” (THE MUTE CHANTING)..รวมบทกวี..ที่งดงาม แม่นตรง และ ทรงพลังทางสำนึกคิดโดย.. “องอาจ สิงห์สุวรรณ” ..คือพลังแห่ง “ความจริงทางวรรณกรรม” ที่ไม่อาจมองข้ามผ่าน...และปฏิเสธความใส่ใจ..แม้เมื่อใด..!
“เสียงความจริง ยังเชื่อว่ามีมนต์/แม้เงียบหายไปทุกหน วิกลวิกฤติ/อีกเรื่องเล่าหลากเสน่ห์ในเพลย์ลิสต์/ซ้ำทุกการผลิต ปิดทุกการสะท้อน/..ยังสะท้อนความจริงอย่างเงียบเชียบ/ผ่านรอยเหยียบบนแรงย่ำมิหยุดหย่อน/ผู้สร้างล่องหน ทำคนหล่นหาย ซื้อขายตัวละคร/อีกวรรคตอนน้ำเน่าเล่าย้อนทวน..”
ผมถือเอาบทกวี “ชิ้นส่วนของการเวลา” บทกวีขนาดยาวบทหนึ่งในเล่ม..เป็นประจุความหมายที่ทั้งน่ารับฟังและน่าค้นหารากฐานของนัยเรื่องราวที่กลบกลืนอยู่ในสาระที่แฝงฝังและเร้นซ่อนอยู่..
“สวมคอความฝันเป็นแหล่งพิง/มีหลักมีฐานอิงอยู่ในเงา”..การขบลึกลงไปในเนื้อในของชีวิตและการพยายามมองออกไปใกล้และไกล ณ เบื้องหน้า..คือวิถีกระทบหนึ่งที่ “องอาจ” ใช้ประกอบสร้างบทกวีของเขาในแต่ละบทขึ้นมา..มันคือสัดส่วนทางสุนทรียะ..ที่ผสานกันด้วยความงามและความหมายอย่างแยบยล..กระทั่งทำให้เลือดเนื้อของบทกวีมีชีวิตและขับขานจนเป็นนัยอันลึกซึ้งที่กระทบต่อจิตปัญญายิ่งๆขึ้น..!
“..เห็นอะไร หรือกระทั่ง ไม่เห็นอะไร/เกินกว่าการ มองออกไป ไม่รู้จบ/มองออกไปใช่ไหมถึงพานพบ/กำชัยในสนามรบของความจริง/..ความจริงของใคร จริงไหนเล่า/ปมเก่าปมใหม่ ยังไหววิ่ง/ผูกเงื่อน จนก้าวใดไม่ไหวติง/สุดท้ายทิ้งอะไรในเงื่อนงำ”/
“องอาจ” สร้างเนื้อในแห่งบทกวีของเขา..ผ่านสาระเนื้อหาที่มีทั้งสั้นและยาว..ผ่านความกระชับของใจความที่ชวนพิเคราะห์..หรืออาจจะผ่านประเด็นของสรรพเหตุการณ์ที่ชวนสืบค้นและตีความ แสดงถึงจังหวะของความคิด..ตลอดจนวิวัฒนาการที่ก่อเกิดขึ้นอย่างมีแง่มุม..!
ภาพลักษณ์แห่งบทกวีขนาดสั้น... “ท้ายทอยอนาคต” ได้แสดงถึงสิ่งอันเป็น “ความรู้สึกเห็น” ที่ไม่มีใครเคยได้เห็น..อย่างน่าจดจ่อและชวนเพ่งพินิจ..!
แท้จริงแล้ว..มีอยู่หลายสิ่งที่ปรากฏเป็นเงาร่างของเรา...ใต้ความสลับซับซ้อนแห่งเบื้องลึกของตัวตน..ที่ความเป็นชีวิตยากจะเข้าใจและจับต้องได้..มันคือ “สิ่งคาใจที่ค้างคา” อยู่อย่างนั้น..!
“..ไหลหลากรวมกันร้อยพันปี/เวลา พื้นที่ ความคิด ความเชื่อ/ค่อยๆเคลื่อน ค่อยๆเข็น หลอมเป็นเครือ.. /จากลำรางสู่ลำเรือแห่งชีวิต/ส่งทอด ยีนต่อยีน มุ่งปีนป่าย/คัดแยก ย่อ-ขยาย หน่วยผลิต/เชื่อมอณูความรู้สึก ความนึกคิด/เป็นดวงจิต ต่าง-เหมือน เป็นเรือนกาย/ในนามของวิวัฒนาการ/เปลี่ยนผ่าน ก้าวข้าม นิยามขยาย/จุดศูนย์กลาง หนึ่งตัวตน ต้นถึงปลาย/บีบ คลาย กว้าง แคบ เรียบง่าย แยบยล”
การเพ่งพินิจสังคมโดยรวมทำให้ “องอาจ” และ มองเห็นว่า..มีความสูญสลายเกิดขึ้นมาหมาย..ด้วยเหตุแห่งผลอันร้าวรานและทุกข์ระทม..ในสิ่งที่เห็น..เหล่านั้นคือ..ภาวะแห่ง “ผองเรา” ที่ต้องตกตายเกลื่อน..ในชะตากรรมของโลกวันนี้..!
“เถิดดิ้นรนให้สาสม สัตว์ก้มหน้า/มนุษย์พันธุ์เพ้อบ้า คลั่งห่ากระสุน/เรื่องใดข้าต้องโผดทาน เป็นต้นทุน/ในเมื่อบุญคุณแผ่ ยังแถทิ้ง/ กระเสือกระสนบนบาน ให้พล่านภพ/ชักดิ้นลงเป็นศพ สิ้นทุกสิ่ง/ข้าเคยเป็นหลักหนึ่ง ให้พึ่งพิง/จงช่วงชิงความกระสัน ฆ่ากันเอง/”
.. ทัศนะแห่งการส่องสะท้อนสังคมชีวิตของ “องอาจ” ดำเนินไปด้วยน้ำหนักของการคาดคะเนและตีความ..เป็นธารสำนึกที่ส่องสะท้อนถึง “ราคาของโลก” แห่งยุคสมัย..ว่ายังคงมีคุณค่าอยู่หรือไม่..เพียงใด..!
“และแล้ววันหนึ่งก็มาถึง/วันที่โลกสะเทือน สะพรึง อึ้ง สับสน/หมุนและเป็นไปตามเสียงพล่ามมนต์/ของผู้คนป่วยไข้ เมืองไร้-ร้าว/ ราคาของโลกพระศรีอารย์/ถูกกว่าจักรวาลแห่งการข่าว/ชั่วพริบตา ต่อเนื่องล้านเรื่องราว/ชำแหละดาว ขยายปมผสมพันธุ์/เป็นเจ้าของพรุ่งนี้ทุกบริบท/จึงอนาคตไร้ตัวตน วนในฝัน/ตกหลุมบ่ออารมณ์ จมคืนวัน/ปัจจุบันขณะนี้ “ไม่มีจริง”/ รสชาติแห่ง “บทกวี” ของ “องอาจ” ในความรู้สึกร่วมทั้งหมด..คือ ผลลัพธ์แห่งมวลความรู้สึกที่อัดแน่นด้วย การตีความเชิง “ผลกระทบ” ..มันสามารถชำระล้างอะไรหลายๆสิ่งที่ค้างคา “จิตใจแห่งจิตใจ”ได้อย่างแน่วนิ่ง..!
การขบคิด เบื้องหลังจิตวิญญานของบทกวี..คือเนื้อแท้..สรณะแห่งการค้นหา “ประติมากรรมประจำกาย” ..อันยากจะปฏิเสธได้..!
“ย่อร่างและวิญญาณ มือควานหา/บางชิ้นส่วนเวลา คว้า,ควานหาย/สิ่งที่เป็นประติมากรรมประจำกาย/สิ่งที่เป็นความหมายแห่งสรณะ/ย่อร่างและวิญญาณ คลำ,ควานหา/มุ่งมองไปข้างหน้า สะเปะสะปะ/ยินยอมทิ้งอ้อมกอด ทอดธุระ/เพื่อไล่ล่ากองขยะอนาคต!/ไล่ล่าอนาคคทุกหยดเหงื่อ/ป้อนความเชื่อแสนเชื่องเข้าเครื่องบด/แลกปลายทางระยิบระยับประดับยศ/กรีดกำหนดเลนส์ชีวิตผลิตซ้ำ”/หากศรัทธาในสิ่งที่ตระหนักเห็น..เราย่อมหยั่งคิดลงไปถึงฐานรากแห่งประพันธกรรม..ในแต่ละบท..ในทุกๆลมหายใจที่ทอดยาวไปข้างหน้า..
ทิศทางแห่ง “ชีวิตของบทกวี” สมควรเป็นเช่นนั้น..ซึ่ง “องอาจ” ก็ได้ปั้นแต่ง และ ก่อรูปลีลาแห่งถ้อยคำของบทกวีออกมา..ได้อย่างติดตรึงและจดจำ..!
“ถนนไม่ใช่เจ้าของรอยเท้า/ยังต่อเนื่องเรื่องเล่ายังต่อเนื่อง/เจ็บปวดกว่านิยามความฝืดเคือง/คือถูกมองเป็นฟันเฟืองเปล่าเปลืองชีวิต”/หากไม่อคติในเรื่องของการสื่อสารทางภาษา ที่ผสมผสานกันทั้งภาษาถิ่นแห่งบ้านเกิด..และภาษาสากลอันเป็นศัพท์แสงเฉพาะของต่างประเทศ..!
“เสียงสวดมนต์ของคนใบ้” คือเสียงร้องของแห่งผู้คนของยุคสมัย..ที่ต้องแบกรับ..แผลกลัดหนองแห่งชะตากรรม และ การถูกกระทำย่ำยีจาก “เงาสะท้อนของโลกแห่งการมีชีวิตอยู่” ที่ค่อยๆอับปางลง..ทีละน้อย ทีละน้อย..ในเกือบทุกๆห้วงขณะ..!
เหตุนี้ “องอาจ สิงห์สุวรรณ” และ ปฏิมากรรมทางความคิดแห่งบทกวีของเขา..จึ่งคือ..เสียงที่ได้ถูกขโมยไปสู่ “ดินแดนต้องห้าม” ในนามของความจริง..ดั่งนั้น.!!!
“..ยังสะท้อนความจริงอย่างเงียบเชียบ/ผ่านรอยเหยียบเเรงย่ำไม่หยุดหย่อน/ผู้สร้างล่องหน ทำคนหล่นหาย ซื้อขายตัวละคร/อีกวรรคตอนน้ำเน่าเล่าย้อนทวน..!
เสียงสวดมนต์ของคนใบ้/เมื่อเสียงถูกขโมยไป สู่แดนต้องห้าม/ลมหายใจจะเชื่อมโยงทุกโมงยาม/ในนามความจริง..ยังทิ้งร่องรอย..!"