เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 นายประภาศ คงเอียด กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) แถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 เปิดเผยว่า ป.ป.ช. ผนึกกำลังหลายหน่วยงาน เร่งแก้ปัญหาบุกรุกเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เตรียมยกระดับเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตระดับประเทศ
สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชน ถึงกรณีการก่อสร้างแพรีสอร์ทและโรงแรมรุกล้ำพื้นที่ราชพัสดุและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พื้นที่ชลประทานเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่งผลให้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานได้เข้าบังคับใช้กฎหมายต่อผู้บุกรุกก่อสร้างบ้านพักและแพรีสอร์ทโดยไม่ได้รับอนุญาตในบริเวณหาดสวนแก้ว เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาวสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8 (ขอนแก่น) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)
และจากการตรวจสอบพื้นที่พบว่ามีการบุกรุกที่ดินของเขื่อนประมาณ 11 ไร่ มีการถมดินเพื่อสร้างบ้านพักประมาณ 2 ไร่ และมีแพรีสอร์ทอีก 10 หลัง แม้ในขณะที่เข้าตรวจสอบจะไม่พบตัวผู้กระทำความผิด แต่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ดำเนินคดีต่อไป
ต่อมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกว่า 8 หน่วยงาน รวมถึงชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อรับทราบปัญหาและลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันปัญหาการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในระดับพื้นที่ การผนึกกำลังของหลายภาคส่วนในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
จากความร่วมมือดังกล่าว ได้นำไปสู่การยกระดับการแก้ไขปัญหาในเชิงนโยบาย โดยเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ได้นำเสนอปัญหาการบุกรุกที่ชลประทาน กรณีศึกษาเขื่อนลำปาว เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประจำภาค 4 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะดังกล่าว และจะนำไปสู่การจัดทำมาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้มาตรา 32 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติให้ยกเหตุอันควรสงสัยกรณีเจ้าหน้าที่รัฐอาจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งถือเป็นการขยายผลเพื่อตรวจสอบการทุจริตในเชิงลึกต่อไป