การตัดสินใจของ พรรคประชาชน ในการโหวตให้ "อนุทิน ชาญวีรกูล" เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อ "ผ่าทางตันทางการเมือง" และจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น กำลังนำพาพรรคเข้าสู่สถานการณ์ที่เปราะบางอย่างยิ่ง
แม้แกนนำจะยืนยันว่านี่คือการกระทำที่จำเป็นเพื่อป้องกัน "คนนอก" ไม่ให้เข้ามามีอำนาจ และหวังว่าจะเป็นการนำไปสู่การยุบสภาในอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้ว พรรคกำลังต้องเผชิญกับแรงเสียดทานและคำถามที่หนักหน่วงจากทุกทิศทาง
การทำ MOA หรือข้อตกลงร่วมกับพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เป็นหลักประกันความสำเร็จใดๆ ตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทยกลับใช้โอกาสนี้โจมตีและเย้ยหยันว่าพรรคประชาชนจะไม่ได้อะไรเลยจากข้อตกลงนี้
ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการมีส่วนร่วมในอำนาจรัฐ ขณะเดียวกัน บทบาทในฐานะ "ฝ่ายค้าน" ก็กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะพรรคยังไม่มีท่าทีแข็งกร้าวในการตรวจสอบ ครม. ชุดใหม่ ซึ่งสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ผู้สนับสนุนว่าพรรคจะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่หรือไม่
ความหวังสูงสุดของพรรคคือการได้กลับไปสู่สนามเลือกตั้งในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งพรรคเชื่อว่าจะสามารถกวาดคะแนนเสียงได้อย่างถล่มทลาย แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เอื้ออำนวยอย่างที่คิด พรรคกำลังตกเป็นเป้าโจมตีจากทุกฝ่าย และที่น่ากังวลคือ กระแสความนิยมของกองทัพ ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจกลายเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรคในทางอ้อมได้อีกด้วย
ดังนั้น แม้พรรคประชาชนจะพยายามแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นผู้เสียสละเพื่อประเทศชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พรรคกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ "เจ็บซ้ำซ้อน" จากการตัดสินใจครั้งนี้
ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือที่ถูกตั้งคำถามและการเดินหมากทางการเมืองที่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้แต่แรก สถานการณ์นี้จึงเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญว่าพรรคจะสามารถรักษาสถานะและความนิยมของตนเองได้หรือไม่ ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง