วันที่ 11 กันยายน 2568 ที่อาคารสืบนาคะเสถียร ชั้น 12 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถนนพหลโยธิน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช แถลงข่าวหลังมีเหตุสิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ โดยระบุว่า ที่ผ่านมากรมฯได้ตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทางสวนสัตว์จะแสดงให้เห็นการดำเนินการของสวนสัตว์ว่ามีความปลอดภัยแข็งแรงเพียงใด ตลอดจนการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ แผนเผชิญเหตุ ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วในการช่วยเหลือกรณีเหตุฉุกเฉิน และการปฐมพยาบาลช่วยเหลือในเบื้องต้น

นอกจากนี้ ทางกรมฯมีการตรวจเกี่ยวกับการครอบครองสัตว์ป่าควบคุม สัตว์ป่าดุร้าย ว่ามีครบถ้วนตามบัญชีที่แจ้งไว้หรือไม่ รวมถึงตรวจการดูแลสุขภาพสัตว์ การดูแลสัตว์ต่าง ๆ ว่าดำเนินการตามความเหมาะสมหรือไม่ เมื่อตรวจสอบครบถ้วนแล้ว จึงจะอนุญาตให้เป็นโซนท่องเที่ยวชมสัตว์ป่าดุร้าย

ในส่วนจุดเกิดเหตุมีการส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบเป็นประจำอยู่แล้ว ประมาณ 1-2 เดือน/ครั้ง ปัจจุบันสัตว์ป่าดุร้ายอย่างสิงโตในบัญชีมี 620 ตัว อาจจะให้กำเนิดลูกเพิ่มในอนาคต ปัจจุบันได้สั่งการให้ตรวจสอบความถูกต้องต่าง ๆ ในการครอบครองสัตว์ดุร้าย เช่น เสือ สิงโต ทั้งในส่วนพื้นที่เอกชนและในส่วนบุคคล โดยเฉพาะแนวทางการเลี้ยงต้องเลี้ยงในกรงตามมาตรฐานที่กรมฯกำหนด หากดำเนินการไม่ถูกต้องจะถูกยึด และต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู ส่วนการนำเข้าในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต และการไม่แจ้งเป็นสัตว์ป่าควบคุม มีความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง

ด้านกลุ่มสิงโตในจุดเกิดเหตุ ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ว่ามีการให้อาหารตามปกติ และก่อนเกิดเหตุมีการให้อาหารแล้ว

"ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องสัญชาตญาณของสัตว์ ในการจู่โจมเขาจะเข้าไปงับคอ ต้องประสานกับพนักงานสอบสวนและพิสูจน์หลักฐานอีกทีว่าลักษณะพฤติกรรมของเหยื่อที่โดนทำร้ายเป็นแบบไหน เราดูจากคลิปแล้วเป็นการเข้าไปขย้ำคอด้านหลัง จากนั้นเป็นสัญชาตญาณหมู่ของสัตว์ผู้ล่าที่จะเข้าไปช่วยกัน และมีการลากผู้เสียชีวิตไปรอบ ๆ รถด้วย ถือเป็นสัญชาตญาณดิบของสัตว์ผู้ล่าโดยตรง"

นายอรรถพล กล่าวต่อว่า สำคัญที่สุดสิงโตทั้ง 5 ตัวจะต้องถูกกักพื้นที่ อาจต้องเข้าไปอยู่ในกรงแล้วค่อย ๆ ปรับพฤติกรรม เขาเกิดพฤติกรรมในการทำร้ายมนุษย์แล้วต้องปรับพฤติกรรม ป้องกันพฤติกรรมที่เคยชิน โดยปกติการดำเนินการสวนสัตว์หรือเกี่ยวกับสัตว์ดุร้ายจะมีกฎระเบียบทั้งของสวนสัตว์และของกรมฯ โดยเฉพาะกฎ 23 ข้อเป็นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานไม่มีการซ้อม ไม่มีการควบคุมและการกำกับดูแลร่วมกัน ทุกคนทำไป 5 ปี 10 ปี 20 ปี ด้วยความเคยชิน ก็คิดว่าไม่มีอะไร กรณีนี้น่าจะเกิดจากความประมาทของเจ้าหน้าที่เองด้วยซึ่งไม่ควรออกนอกรถ

"สำคัญที่สุดนี่คือความอันตราย แม้แต่เจ้าหน้าที่ของกรมฯเอง ในการดูแลสัตว์ป่าพื้นที่ต่าง ๆ เราจะไม่เข้าไปอยู่ใกล้ ถึงแม้เคยชินอย่างไรก็ตาม เพราะสัตว์ป่ามีสัญชาตญาณที่พร้อมจะปลดปล่อยความรู้สึกของเขา ซึ่งอันตราย"

นายอรรถพล กล่าวว่า ด้านการให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมสัตว์ดุร้าย เรื่องนี้ต้องมีการควบคุมมากขึ้น เช่น การเข้าไปใกล้ชิดกับสัตว์ดุร้ายเพื่อถ่ายรูป เรื่องนี้พยายามขอความร่วมมืออยู่ โดยเฉพาะการปล่อยให้นักท่องเที่ยวจูงเสือ และถูกเสือตะปบ ทางกรมฯ ได้บอกแล้วว่าห้ามใช้วิธีนี้ แต่ถ้าเสือถูกล่ามโซ่มีความปลอดภัยแล้วเข้าไปถ่ายรูปยังพออนุโลมได้ อย่างไรก็ตามต้องเข้าไปคุยกับทางสวนสัตว์ว่ามีความปลอดภัยและมีมาตรการในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างไร

รวมถึงเรื่องอุปกรณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ ในต่างประเทศเมื่อเกิดเหตุสัตว์ทำร้าย จะรีบกำจัดสัตว์ก่อนเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ส่วนเราเองก็ต้องมีวิธีที่ทำให้สัตว์กลัว ปัจจุบันบางสวนสัตว์ก็มีอุปกรณ์ เช่น กระบอง ส่วนอุปกรณ์สำคัญที่ต้องมี ณ ตอนนี้คือเครื่องมือยับยั้งสัตว์เมื่อเขาทำร้ายมนุษย์

จากนี้ไปทุกพื้นที่ที่ครอบครองสัตว์ดุร้ายจะต้องมีการซ้อมแผนให้กรมฯดู จนกว่าจะผ่านมาตรฐานจึงจะได้รับอนุญาตให้เปิด ที่ผ่านมาทางสวนสัตว์จะมีการซ้อมแผนอยู่แล้ว แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ของกรมฯไปร่วมด้วยทุกครั้งเพราะเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ เพียงแต่ดูประวัติการซ้อมเป็นรายเดือน ว่ามีการดำเนินการครบถ้วนตามมาตรฐานที่กำหนดไว้หรือไม่

ปัจจุบัน สวนสัตว์เปิดมีจำนวน 5 แห่ง คือ สวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ที่กรุงเทพฯ ซาฟารีเวิลด์ปาร์ค&รีสอร์ทที่กาญจนบุรี ศรีราชาฟาร์มจระเข้-สวนเสือศรีราชา ไทเกอร์พาร์คพัทยา-ชลบุรี และไทเกอร์พาร์คภูเก็ต ทั้งหมดจะมีการลงพื้นที่ตรวจสอบ

"ต้องบอกว่าเป็นความบกพร่อง เนื่องจากการซ้อมแผนเป็นระยะเวลาหลายปีทำให้เกิดความเคยชินจนมองข้ามความปลอดภัย ทำให้ละเลยในเรื่องของมาตรการควบคุมกำกับ ประกอบกับความประมาทของเจ้าหน้าที่เอง จึงเกิดการสูญเสีย สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คืออารมณ์ของสัตว์ จากนี้สิงโตทั้งห้าตัวจะต้องถูกกักเพื่อดูพฤติกรรมไปก่อน" นายอรรถพล กล่าว