คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อสมการการเมืองไทย และส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ข้อตกลงร่วมรัฐบาล (MOA) ระหว่าง พรรคประชาชน กับ พรรคภูมิใจไทย ในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ศาลไม่เพียงแต่ กำหนดกรอบกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้น ด้วยการบังคับให้ทำประชามติสูงสุด สามครั้ง แต่ยัง ปิดประตูให้ประชาชนเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยตรง ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญที่พรรคประชาชนใช้สร้างฐานสนับสนุนและความชอบธรรมมาตลอด

แม้จะเปิดช่องให้ “รวมประชามติครั้งที่ 1 และ 2” เหลือเพียง สองครั้ง แต่เงื่อนไขนี้ไม่ได้ทำให้กระบวนการง่ายขึ้น เพราะการรวมคำถามสามารถทำได้ หลังจากรัฐสภาผ่านร่างแก้ไขมาตรา 256 วาระสาม ซึ่งต้องอาศัย ฉันทามติรอบด้านของพรรคร่วม การออกแบบคำถามประชามติภายใต้กรอบนี้จึงกลายเป็นโจทย์การเมืองที่ ละเอียดอ่อน และ เสี่ยงสูง ต่อความแตกแยกภายในรัฐบาลผสม

สำหรับ พรรคประชาชน คำวินิจฉัยครั้งนี้เปรียบเสมือนแรงกดดันมหาศาล เพราะทำให้สูญเสีย เครื่องมือเชิงสัญลักษณ์ ที่เคยใช้สร้างจุดยืนทางการเมือง การให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร. โดยตรงเคยเป็น ธงหลัก และเป็นภาพลักษณ์สำคัญว่าเป็น “ผู้คืนอำนาจให้ประชาชน”

แต่เมื่อศาลวางกรอบจำกัด พรรคจึงเผชิญกับ ทางเลือกที่ลำบาก หากปรับ MOA ให้สอดคล้องกับกรอบศาล ก็เสี่ยงต่อการ สูญเสียฐานเสียงและความน่าเชื่อถือ ทว่า หากยืนยันแนวทางเดิมที่ให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร. โดยตรง ก็อาจนำไปสู่การ ชนกับพรรคร่วม และ สถาบันศาล ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพรัฐบาลโดยตรง

ในทางกลับกัน พรรคภูมิใจไทย กลับเดินเกมอย่างรวดเร็ว ด้วยการตั้ง คณะทำงานศึกษาแนวทางทำประชามติ ภายใต้กรอบศาลอย่างเป็นระบบ โดยมี ไชยชนก ชิดชอบ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน การขยับครั้งนี้ส่งสัญญาณว่าภูมิใจไทยพร้อมจะก้าวขึ้นเป็น “ผู้คุมจังหวะ” และกุม รีโมต ของโรดแมปการแก้รัฐธรรมนูญ

กระแสยิ่งร้อนแรงขึ้นเมื่อโลกออนไลน์ขุดคลิปการอภิปรายของไชยชนกในสภา ที่เคย วอล์กเอาต์ ระหว่างการถกแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้ภูมิใจไทยถูกจับตามองว่าอาจใช้โอกาสนี้ สร้างบทบาทนำ ในการขับเคลื่อนโรดแมปใหม่

แรงกระเพื่อมจากคำวินิจฉัยศาลยังสะท้อนชัดผ่านเสียงวิพากษ์จากนักการเมืองและนักวิชาการอิสระ ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้ทำให้ “ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเสียเอง” เพราะบังคับให้รัฐสภาซึ่งมีอำนาจแก้ไขตามมาตรา 256 ต้องกลับไปถามศาลก่อนดำเนินการ

ปิยบุตร ตั้งคำถามว่า ทำไมการเปลี่ยนผ่านจากรัฐธรรมนูญ 2560 ไปฉบับใหม่จึงซับซ้อนและยากลำบากกว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขณะที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ส.สส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็เห็นสอดคล้อง โดยชี้ว่าศาลเคยมีคำวินิจฉัยว่า “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน”

ดังนั้น หากประชาชนเห็นชอบให้มี ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้ง ศาลไม่ควรปิดทาง จาตุรนต์ ยังเตือนว่า หากรัฐธรรมนูญใหม่ถูกกำหนดโดยคนเพียงบางกลุ่มหรือพลังการเมืองบางฝ่าย กติกาใหม่อาจ ขาดความชอบธรรม และไม่สามารถใช้คลี่คลายความขัดแย้งได้จริง

ในอีกด้านหนึ่ง สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้รัฐบาลผสมตั้ง “คณะทำงานร่วม” ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย เพื่อออกแบบคำถามประชามติให้สอดคล้องกับกรอบศาล และเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อให้เดินหน้าได้ตามกรอบ พ.ร.บ.ประชามติ ที่ให้อำนาจ ครม. เป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย

สมชัยยังแนะให้รัฐบาลไม่หมกมุ่นอยู่เพียงกับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่ควรเดินหน้า “แก้รายมาตรา” ควบคู่ไป โดยเฉพาะ มาตรา 90 เกี่ยวกับระบบเลือกตั้งที่สร้างปัญหาในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะการแก้รายมาตราทำได้โดยรัฐสภาโดยตรง ไม่ต้องทำประชามติ และ ไม่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ หากละเลย การเลือกตั้งครั้งหน้าอาจเผชิญปัญหาเดิมซ้ำอีก

คำวินิจฉัยครั้งนี้จึงเป็นเหมือน ระเบิดเวลาทางการเมือง ที่บังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลต้องเลือกระหว่าง “อยู่รอดทางการเมือง” กับ “รักษาสัญญาต่อประชาชน” หากพรรคร่วมไม่สามารถหาฉันทามติได้ทันเวลา ความเสี่ยงที่ MOA จะล่ม มีสูง และอาจนำไปสู่ วิกฤติศรัทธาต่อรัฐบาลผสม ในสายตาประชาชน

ผลสะเทือนจากกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด ไม่เพียงชี้ชะตา อนาคตของ MOA เท่านั้น แต่ยังโยงไปถึง เสถียรภาพรัฐบาล และ การสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ในบริบทที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากทุกทิศทาง

#คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ #ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ #moaพรรคประชาชน #moa