วันที่ 11 ก.ย.68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ โพสต์การให้สัมภาษณ์ The Standard ในหัวข้อ การต่างประเทศของไทยในรัฐบาลอนุทิน และโจทย์เร่งด่วนของสีหศักดิ์ ผ่านเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn ระบุว่า...
"Triple Challenges" - ความท้าท้ายของรัฐบาลใหม่ใน 3 มิติ
โดยในบทสัมภาษณ์ รศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบปกติ โดยประชาชนมีความต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันสำคัญต่อรัฐบาลชุดใหม่ เขาได้ระบุถึง ‘Triple Challenges’ หรือความท้าทาย 3 มิติหลักที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญ ได้แก่ ความมั่นคงและการต่างประเทศ, เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในของไทย, และความท้าทายภายในของพรรคการเมือง
รศ. ดร.ปณิธาน มองว่า ผู้กำหนดนโยบายที่เข้าใจและรอบด้านในการรับมือความท้าทายทั้งสามมิติ และสามารถสร้างความสมดุลใหม่ได้ จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนว่าผู้นำรัฐบาลชุดใหม่จะเข้าใจหรือไม่ว่า ขณะนี้ไทยอยู่ในสภาวะที่มีมิตรน้อยลงกว่าในอดีต อีกทั้งความน่าสนใจของไทยยังลดลงอย่างมากในทุกด้าน ทั้งด้านภูมิศาสตร์ การเมือง และตัวผู้นำ หากรัฐบาลเข้าใจประเด็นนี้ ก็จะเข้าใจถึงสาเหตุที่การส่งออกและการท่องเที่ยวไม่ดี และเหตุผลที่ต่างชาติมองว่ามีความเสี่ยงในการคบค้าสมาคมกับไทยมากขึ้น
สำหรับมิติด้านความมั่นคงและการต่างประเทศนั้น ครอบคลุมถึงความขัดแย้ง สงคราม และความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดจากการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงสงครามในภูมิภาคต่างๆ ภาษีการค้า และการรวมกลุ่มกันใหม่ในรูปแบบต่างๆ
รศ. ดร.ปณิธาน ระบุว่า นโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลชุดใหม่มีภารกิจสำคัญ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การกระชับและปรับความสัมพันธ์ให้ได้สมดุลใหม่กับมหาอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย เช่น การลดอัตราภาษี เพิ่มพลังงานราคาถูก และเพิ่มมิตรเพื่อสกัดปัญหาที่ประเทศเหล่านี้อาจสนับสนุนคู่กรณีของไทย ประเด็นที่สองคือการฟื้นฟูอาเซียนและกลไกนานาชาติให้เข้มแข็ง ไม่ถูกครอบงำโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง และประเด็นสุดท้ายคือการแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ตามแนวชายแดน ทั้งกับกัมพูชา เมียนมา และมาเลเซีย ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวและหลากหลายมิติ โดยในระยะสั้นต้องทำให้เกิดเสถียรภาพและเปิดประตูสู่สันติภาพให้ได้
ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รศ. ดร.ปณิธานมองว่า การเข้ามาทำหน้าที่ของสีหศักดิ์ ซึ่งมีความชำนาญเรื่องการทูตแบบปรองดอง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเชิงการสร้างความร่วมมือด้านมนุษยธรรม เช่น แนวคิดระเบียงมนุษยธรรม หรือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและส่งความช่วยเหลือให้กับประชาชนเมียนมาที่เขาเคยผลักดันในรัฐบาลเศรษฐา อาจนำมาปรับใช้กับกรณีของกัมพูชาได้ แนวคิดนี้คือการเปิดพื้นที่มนุษยธรรมสำหรับชาวกัมพูชาที่ต้องการกลับคืนถิ่นฐานในประเทศตนเอง โดยไม่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยอีก สิ่งสำคัญอีกประการคือการปรับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาให้กลับสู่ระดับปกติ ซึ่งการที่ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอนุทิน ถือเป็นสัญญาณบวกแม้จะเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่อาจนำไปสู่การฟื้นคืนความสัมพันธ์สู่ระดับปกติในชั้นแรกได้ หากความสัมพันธ์กลับคืนสู่ระดับปกติ จะหมายถึงการมีเอกอัครราชทูตที่มีอำนาจเต็ม มีกลไกต่างๆ ที่ทำงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น และความสัมพันธ์กลับเป็นทางการเต็มรูปแบบเหมือนเดิม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้การแก้ปัญหาในกรอบต่างๆ ดำเนินไปได้
รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่า หากความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาฟื้นคืนกลับมา อาจมีประเด็นเฉพาะเรื่องที่สามารถผลักดันได้ เช่น การลดหรือปรับกำลังทหาร รวมถึงการเปิดพื้นที่ด้านมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลังจากนั้นคือการกลับไปสู่กรอบการเจรจาพูดคุย แต่อาจเผชิญอุปสรรคในระยะสุดท้ายในเรื่องการจัดทำหลักเขตแดน การปักปันชายแดน และการกลับมายึดมั่นในกลไกทวิภาคี ส่วนคำถามที่คนไทยจำนวนมากสงสัย เช่น การยกเลิก MOU43 หรือ MOU44 นั้น ผู้ที่จะตัดสินใจน่าจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี
รศ. ดร.ปณิธานกล่าวว่า ข้อได้เปรียบหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้คือการใช้บุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพ มีความรู้ ความชำนาญ และได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งมารับตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายกระทรวงสำคัญ แต่หลายคนไม่ใช่ผู้นำทางการเมืองมาก่อน บางคน เช่น สีหศักดิ์ ที่ผ่านมาถือเป็นนักปฏิบัติและเป็นข้าราชการประจำมายาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดคำถามว่า จะได้รับการยอมรับจากฝ่ายผู้นำของเพื่อนบ้าน นานาชาติ และในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่ ในกรณีของสีหศักดิ์ นายกรัฐมนตรีอนุทินอาจจะต้องให้ความสำคัญกับรัฐมนตรีต่างประเทศให้มากขึ้นเพื่อแก้ไขประเด็นนี้
รศ. ดร.ปณิธาน ย้ำว่า การทำหน้าที่ของรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่จะต้องไม่ติดกับดักในกรอบของข้าราชการประจำและการทูตแบบปกติ ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรผกผันหรือแหลมคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจไม่ใช่แค่การเจรจาบนโต๊ะระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องรวมถึงการจัดระเบียบชาวกัมพูชาในไทยด้วย