วันที่ 11 กันยายน 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ พ้นความรับผิดชอบในฐานะ รมช. คลัง ขอวิจารณ์ตรงๆ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นการแทรกแทรง โดยได้โพสข้อความว่า ช่วงนี้ค่าเงินบาทของไทยแข็งขึ้นต่อเนื่อง ผมค่อนข้างเป็นกังวลในวิกฤติทางเศรษฐกิจนี้ เพราะล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 31.7 บาทต่อดอลลาร์ แข็งที่สุดในรอบ 4 ปี และแข็งขึ้นแล้วกว่า 5–6% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ผลที่ตามมาคือภาคส่งออก ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยกำลังได้รับผลกระทบโดยตรง

ข้อมูลชี้ชัดว่าทุก 1% ที่เงินบาทแข็งค่า รายได้ส่งออกจะหายไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นเกือบ 0.5% ของ GDP ทำให้สินค้าส่งออกหลักของเรา ทั้งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าภาคการเกษตร และอาหาร กำลังถูกบีบกำไรอย่างหนัก โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้เอง

ถึงแม้ที่ผ่านมารัฐบาลแพทองธารที่นำโดยท่านพิชัย ชุณหวิชร รองนายกฯ และ รมว. คลัง จะเจรจากับทางสหรัฐฯ ได้สำเร็จในเรื่องภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal tariff) ที่ 19% แต่ผลกระทบจากการปรับสมดุลของดุลการค้า (Trade balance) ยังเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง

ในฐานะที่ผมเคยอยู่ฝ่ายบริหาร เข้าใจดีว่าการบริหารค่าเงินและการกำหนดนโยบายการเงินไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่เราเห็นในวันนี้คือปัญหาสะสมจากการที่เงินเฟ้อไทยพลาดเป้าติดต่อกันหลายปี ต่ำกว่ากรอบ 1–3% อยู่เสมอ การตัดสินใจด้านดอกเบี้ยและค่าเงินไม่ทันต่อสภาพเศรษฐกิจจริง เมื่อดอกเบี้ยปรับช้า เงินบาทจึงแข็งเกินไป และกลายเป็นภาระต่อผู้ประกอบการไทย

ฝากไปที่ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุก ลดความผันผวน ไม่ปล่อยให้แข็งเกินจริง และต้องบูรณาการนโยบายการคลังและการเงิน ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ

และฝากรัฐบาลชุดใหม่ให้สานต่อแผนการปรับโครงสร้างการส่งออกไทย เพื่อลดความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน รวมถึงสานต่อดำเนินการด้านสินเชื่อที่รัฐบาลแพรทองธารได้เตรียมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) ไว้ เป็นจำนวนกว่า 200,000 ล้านบาท และดำเนินการช่วยเหลือ SMEs ผ่านงบประมาณที่ตั้งไว้ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 25,000 ล้านบาท

ตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งไม่ใช่เพียงตัวเลขบนหน้าข่าวนะครับ แต่มันคือแรงกดดันจริงต่อผู้ส่งออก ทั้งภาคเกษตรกร แรงงาน และผู้ประกอบการทั่วประเทศ สิ่งสำคัญคือเราต้องหาทางออกที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงอย่างแท้จริง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ประชาชนทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันครับ