วันที่ 10 ก.ย.2568 ที่รัฐสภา นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ยื่นญัตติต่อรัฐสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2568 เป็นที่น่าเสียดายว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิฉัยว่า ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง หรือ เลือกส.ส.ร.โดยตรงจากประชาชนไม่ได้ จึงเป็นเดดล็อกให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปสู่วังวนเดิม และนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญไม่จบสิ้น ขอให้ประชาชนช่วยจับตาตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกัน พรรคประชาชน ซึ่งให้ดาบรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยเป็นเรือธงนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ต้องกำกับหางเสือให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ไม่เช่นนั้นพรรคประชาชนจะรับผิดชอบไม่ไหว หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะซ้ำรอยอาถรรพ์รัฐธรรมนูญปี 60 อีกครั้งหนึ่ง
“เมื่อประชาชนไม่ได้เลือกส.ส.ร.โดยตรง เกรงว่าจะมีไอ้โม่งเข้ามาชักใยคุมกลไกการเลือกคนมามร่างรัฐธรรมนูญแทนเพื่อสถาปนาอำนาจตัวเองให้ยาวนานที่สุด เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคการเมืองบางพรรคมีอำนาจเบ็ดเสร็จคุมทั้งสภาล่างสภาบน ในการเลือกคน เพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญ จึงเชื่อว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะออกแบบมาตามที่มีคนบงการมาหรือไม่ และคงไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแน่นอน แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยออกมาแล้วว่าก็ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง”นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนจึงขอเสนอวิธีการทำประชามติดังนี้ ประชามติครั้งที่ 1 (คำถามข้อ 1) และ ครั้งที่ 2 (คำถามข้อ 2) รวมเป็นครั้งเดียวกัน โดยใช้คำถามดังนี้ 1.ท่านเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่ 2.หากท่านเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ท่านเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แนบมาด้วยนี้หรือไม่ โดยมีเหตุผลว่า คำถามข้อ 1 เพื่อให้ประชาชนแสดงเจตจำนงว่า เห็นควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ คำถามข้อ 2 ในระหว่างนี้สมาชิกรัฐสภาร่วมกันแก้ไขมาตรา 256 เป็นวิธีการอื่น เช่น จัดให้มี ส.ส.ร. (ที่รัฐสภาเป็นผู้เลือก หรือตั้งคณะกรรมการมาทำหน้าที่ ตามคำวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง) และกำหนดระยะเวลา อำนาจหน้าที่ กระบวนการที่จำเป็นอย่างชัดเจน ซึ่งคือประชามติครั้งที่ 2 ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า “ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร”
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า การทำประชามติ 1 + 2 นี้ ควรทำพร้อมกับการเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่พรรคภูมิใจไทยทำ MOA ไว้กับพรรคประชาชนที่กำหนดว่า จะต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อประหยัดงบประมาณแผ่นดิน ส่วนประชามติครั้งที่ 3 ทำเมื่อ สสร. ที่เลือกมาโดยกระบวนการใดก็ตาม และเมื่อร่างรธน.เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบตามรัฐธรรมนูญที่ร่างมาหรือไม่ ซึ่งกระบวนการทั้งหมด น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อจากนี้ และหวังว่ากระบวนการดังกล่าวจะไม่มีใครมาขัดขวางให้สะดุดหยุดลง หรือเหนียวรั้งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 อีกต่อไป