การเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง เมื่อเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ พรรคภูมิใจไทยภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแกนหลักของรัฐบาล เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง วิเคราะห์ผ่านช่อง YouTube WATCHDOG CHANNEL วันที่ 9 กันยายน 2568 อย่างเข้มข้นว่า ช่วงเวลานี้คือบทพิสูจน์ว่าภูมิใจไทยจะสามารถสร้างภาพลักษณ์ “พรรคแห่งการปฏิรูป” หรือจะถูกมองว่าเป็นเพียง “ระบอบใหม่ในชื่อใหม่”

เจิมศักดิ์ชี้ว่าภารกิจสำคัญที่สุดของอนุทินคือการ “ละลายระบอบทักษิณ” ให้สิ้นซาก พร้อมกับหลีกเลี่ยงการทำซ้ำในสิ่งที่ระบอบนั้นเคยทำผิดพลาด การบริหารประเทศในหกเดือนนี้ต้องไม่ซ้ำรอย “ทุจริตโดยนโยบาย” ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่เคยถูกใช้ซื้อใจประชาชนและสร้างระบบอุปถัมภ์ ตัวอย่างชัดเจนคือกรณีปัญหาที่ดิน “เขาพระโดง” ที่ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา แม้อาจกระทบบุคคลสำคัญในพรรคอย่าง เนวิน ชิดชอบ แต่การยอมเสี่ยงในเรื่องนี้คือการสร้างเครดิตทางการเมือง หากภูมิใจไทยเลือกใช้วิธีการแบบเก่า เช่น การวิ่งเต้นกับตุลาการหรือองค์กรอิสระ ก็จะไม่ต่างจากสิ่งที่พยายามต่อสู้ และสุดท้ายจะสูญเสียพื้นที่ความชอบธรรมที่กำลังสร้าง

ในด้านการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี เจิมศักดิ์เสนอให้อนุทินเลือกใช้ “มืออาชีพคนนอก” เข้ามาบริหารกระทรวงสำคัญ เพื่อลดข้อครหาทางการเมืองและสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนและต่างชาติ ตัวอย่างบุคคลที่เหมาะสม ได้แก่ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ สำหรับกระทรวงการคลัง ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและการคลัง, สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศมากฝีมือ และ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ปตท. สำหรับกระทรวงพลังงาน แม้มีข้อกังวลเรื่องทุนผูกขาด แต่การดึงคนนอกมาบริหารจะช่วยลดแรงต้านได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ เจิมศักดิ์เตือนว่ากระทรวงมหาดไทยอาจเป็นจุดเปราะบาง เพราะหากมีการโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการครั้งใหญ่ อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงสนามเลือกตั้ง จึงควรหลีกเลี่ยงการ “แบ่งเค้ก” โควตาทางการเมืองในกระทรวงสำคัญ และต้องชี้แจงให้พรรคร่วมเข้าใจข้อจำกัดเรื่องเวลา เพราะรัฐบาลนี้มีเวลาทำงานจริงเพียง 4 เดือนเต็ม ก่อนเข้าสู่สถานะ รัฐบาลรักษาการ อีก 2 เดือน

แม้เวลาจะจำกัด แต่ภูมิใจไทยยังสามารถสร้างผลงานเชิงรูปธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้ทันที โดยเจิมศักดิ์เสนอให้เริ่มจากการแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยต้องทำให้ความสัมพันธ์กลับไปอยู่ในสภาพดีก่อนการกลับมาของ ทักษิณ ชินวัตร และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านชายแดนกลับมาค้าขายได้ตามปกติ ซึ่งจะเป็นผลงานที่สามารถใช้หาเสียงในพื้นที่ฐานเสียงหลักได้อย่างแข็งแกร่ง อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนคือการรับมือการทุ่มตลาดสินค้าจากจีน ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อ SME และภาคการผลิตในประเทศอย่างหนัก ขณะเดียวกันต้องกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพิจารณานำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาอีกครั้ง เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในชนบท พร้อมทั้งเร่งยกเลิกหรือปรับแก้กฎหมายและนโยบายที่สร้างปัญหา เช่น โครงการคาสิโน Entertainment Complex, การเปิดพนันออนไลน์ และกฎหมายศูนย์กลางทางการเงินที่เสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการสร้างความยั่งยืนในอนาคต เจิมศักดิ์เสนอให้ภูมิใจไทยวาง “วาระแห่งชาติ” เพื่อกำหนดทิศทางการเมืองไทย และบังคับให้พรรคอื่นต้องตอบคำถามประชาชนในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า โดยมีประเด็นสำคัญคือการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของไทยที่ล้าหลังมานาน โดยเฉพาะการปรับอัตรา VAT ที่คงอยู่ที่ 7% มาหลายสิบปี ขณะเดียวกันต้องออกแบบระบบภาษีใหม่เพื่อเพิ่มรายได้รัฐและจัดการหนี้สาธารณะ ลดการผูกขาดและสร้างการแข่งขันเสรีในภาคพลังงาน โทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต และค้าปลีก พัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัย โดยเน้นการสร้างระบบออมระยะยาวและยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน รวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะ AI และการประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรและการศึกษา เพื่อสร้างความสามารถแข่งขันของประเทศในศตวรรษใหม่

เจิมศักดิ์เตือนว่าภูมิใจไทยยังมี “แผลทางการเมือง” ที่หากไม่จัดการอย่างระมัดระวัง อาจถูกพรรคเพื่อไทยใช้เป็นช่องทางฟื้นคืนพลังได้ โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้พรรคถูกมองว่าอยู่ภายใต้การครอบงำของ เนวิน ชิดชอบ เช่นเดียวกับที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยควบคุมพรรคเพื่อไทยในอดีต การรักษาระยะห่างเชิงภาพลักษณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อสร้างภาพพรรคที่โปร่งใสและเป็นอิสระอย่างแท้จริง

สุดท้าย เจิมศักดิ์สรุปว่า หกเดือนนี้คือ “ช่วงเวลาทอง” ของอนุทินและพรรคภูมิใจไทย หากสามารถ ละลายระบอบทักษิณ, บริหารประเทศด้วยความโปร่งใส, เลือกใช้มืออาชีพคนนอกในกระทรวงหลัก, แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม และ วางวาระแห่งชาติที่สร้างอนาคต ภูมิใจไทยจะสามารถสร้างความแตกต่างในสนามเลือกตั้ง และมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นพรรคการเมืองที่กำหนดทิศทางประเทศในระยะยาว แต่หากเดินพลาดเพียงก้าวเดียว พรรคอาจสูญเสียโอกาสสำคัญและกลับไปอยู่ในเงามืดทางการเมืองอีกครั้ง

#ทักษิณชินวัตร #อนุทินชาญวีรกูล #การเมือง #วิเคราะห์