การเคลื่อนไหวของ “รัฐบาลใหม่” ที่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล”  นายกรัฐมนตรี ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะการจัดทัพครม. “หนู 1”  ซึ่งปรากฏชื่อ “ว่าที่รัฐมนตรี” จากโควตาพรรคและกลุ่มการเมืองต่างๆที่พาเหรดมาร่วมรัฐบาล

รายชื่อที่ปรากฏผ่านสื่อ มีทั้งการโยนหินถามทาง หยั่งเสียง เช็คกระแสกันอุตลุต จะมีก็แต่ในส่วนที่ดึง “คนนอก” เข้ามาร่วมงานในรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ ที่นายกฯหนู ต่อสายด้วยตัวเอง ทั้งเก้าอี้ รมว.คลัง, รมว.พลังงาน ,รมว.ต่างประเทศ ,รมว.พาณิชย์

รวมทั้ง งานด้านความมั่นคง ที่ต้องเปิดทางเอาไว้ให้กับ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์  ที่จะพาสชั้นขึ้นไปนั่ง “สนามไชย1” คุมกระทรวงกลาโหม ในห้วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่น่าวางใจ โดยอนุทิน ให้เหตุผลว่าไม่ต้องการ “เปลี่ยนม้ากลางศึก”  พร้อมกันนี้ ยังบอกด้วยว่า พล.อ.ณัฐพล “มีอำนาจเต็ม”

ล่าสุดวันนี้ 9 ก.ย.68 นายกฯอนุทิน เปิดเผยถึงความคืบหน้า ว่าได้ “ส่งรายชื่อ” บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณสมบัติครบทุกคนแล้ว ยืนยันว่าหากรายชื่อใดไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็จะไม่สามารถได้รับการแต่งตั้งได้

และในห้วงตลอดความเคลื่อนไหวของการตั้งรัฐมนตรี มีการจับตามาตั้งแต่แรกว่า เมื่อพรรคภูมิใจไทย ต้อง “อาศัย” เสียงโหวตหนุน เลือกนายกฯ ดังนั้นการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี จึงต้องแบ่งให้กับพรรคและกลุ่มสส.ที่ยกทีมเข้ามาร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่

ทั้งที่มีรายชื่อว่าที่รัฐมนตรี ที่เคยถูกเบรก มาก่อนหน้านี้ สมัยครม. “เศรษฐา ทวีสิน” จนมาถึง ช่วง “แพทองธาร 1”  เนื่องจากไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเข้มข้น โดยเฉพาะในยุค “แพทองธาร 1” ดูเหมือนว่า “ทักษิณ” จะไม่ยอมให้ลูกสาวมาเสี่ยง เหมือนกับที่ อดีตนายกฯเศรษฐา เคยต้องพ้นจากเก้าอี้ เพราะแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” นั่งรัฐมนตรี มาแล้ว

ในรอบนั้น ในส่วนของพรรคกล้าธรรม เคยมีรายงานว่า เสนอชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และ ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เข้ามาลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรี แต่สุดท้ายต้องเปลี่ยนตัว

หากย้อนกลับไป ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เป็นนายกฯ  “พีรพงษ์ ทรัพย์กิจธนากุล”  ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของพล.อ. ประยุทธ์ สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) หรือไม่ จากเหตุ นำชื่อของร.อ.ธรรมนัส ขึ้นทูลเกล้า ฯ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์

ทั้งที่รู้ หรือควรรู้ว่าบุคคลดังกล่าวรับว่าตนได้กระทำผิดตามคำพิพากษาของศาลออสเตรเลีย มีประเด็นข้อกังขาเกี่ยวกับจริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ซึ่งไม่สมควรได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส จึงเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)

แต่ปรากฏว่า คำร้องดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า “ผู้ร้อง” คือ พีรพงษ์ มิได้เป็นผู้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ได้

นอกจากนี้ ในปี  2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคำร้องของสส.พรรคก้าวไกล เป็นเอกฉันท์ ว่า ร.อ.ธรรมนัส ไม่ขาดคุณสมบัติทั้งในฐานะ ส.ส. และรัฐมนตรี เนื่องจากคำพิพากษาอ้างอิงจากต่างประเทศ ไม่ถือเป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดในประเทศไทย

ทว่า “จุดตาย” ที่อาจมีผู้นำมาร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จนกระทบต่อสถานะนายกฯของอนุทิน เมื่อมีการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อใด คือการยื่นเรื่องร้องอนุทิน ว่าด้วยเรื่อง จริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ในมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งตีความและกินความหมาย ค่อนข้างกว้าง

ประเด็นดังกล่าวนี้ต้องแยกกันระหว่าง “คุณสมบัติ” ของร.อ.ธรรมนัส กับคำถามที่จะพุ่งไปที่นายกฯอนุทิน ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม “เป็นการเฉพาะตัว” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ของอนุทิน เองต่างหาก

และนี่คือ “จุดวัดใจ”  ว่าครม.ใหม่ของนายกฯหนู พร้อมที่จะเสี่ยงหรือไม่ ?