อธิบดีกรมการข้าว เผยข่าวดี คลอดพันธุ์ข้าว 4 พันธุ์ใหม่ ชูคุณภาพดี ให้ผลผลิตสูง ตรงตามความต้องการของชาวนาและผู้บริโภค
วันที่ 9 ก.ย.68 นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณารับรองพันธุ์ข้าว ประจำปี 2568 โดยมี ดร.ชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าว นายกฤษฎิน คำตัน รองอธิบดีกรมการข้าว ผู้แทนกรมการค้าภายใน ผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ผู้แทนสมาคมโรงสีข้าวไทย ผู้แทนสมาคมค้าข้าวไทย ผู้แทนคณะกรรมการศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ ผู้แทนสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวไทย ผู้แทนสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมรวงข้าว ชั้น 2 อาคารกรมการข้าว
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า กรมการข้าวมีภารกิจหลักด้านข้าว โดยหนึ่งในภารกิจหลักคือการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องชาวนาในทุกมิติ ซึ่งกรมการข้าวมีแผนการรับรองพันธุ์ข้าวในทุกๆปี อย่างน้อยปีละ 4-5 พันธุ์ โดยพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่จะรับรองพันธุ์นั้นมุ่งเน้นงานวิจัยให้ได้พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง ลดความเสียหายจากการทำลายของโรค และแมลงศัตรูข้าว สามารถทนแล้งและทนน้ำท่วมได้ในพันธุ์เดียวกัน อีกทั้งมีความเหมาะสมในการปลูกแต่ละพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้เกษตรกร ผู้บริโภคและผู้ประกอบการค้าข้าว ที่จะได้เลือกรับประทานข้าวที่มีความหลา
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวต่อไปว่า ในปี 2568 นี้กรมการข้าวได้รับรองพันธุ์ข้าวจำนวน 4 พันธุ์ ซึ่งข้าว แต่ละพันธุ์มีจุดเด่นที่แตกต่างกันตามการนำไปใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย
1. ข้าวเจ้าจาปอนิกาสายพันธุ์ CRI12031-3-5-1-1 ดำเนินการวิจัยโดยศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาได้เสนอเป็นพันธุ์รับรองชื่อ กขจ3 โดยพันธุ์ดังกล่าว เป็นข้าวเจ้าจาปอนิกา ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ความสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ลำต้นแข็ง คอรวงยาว มีหางบางเมล็ด เมล็ดร่วงยาก อายุการเก็บเกี่ยว ฤดูนาปรังประมาณ 109 - 116 วัน ฤดูนาปีประมาณ 103 - 108 วัน เมื่อปลูกด้วยวิธีปักดำ คุณภาพการสีดีมาก ปริมาณอมิโลส 18.01เปอร์เซ็นต์ คุณภาพการหุงต้มและรับประทานดี เมื่อหุงสุกข้าวมีลักษณะนุ่มเหนียว สีขาวนวล ค่อนข้างเลื่อมมัน ความเกาะตัวค่อนข้างเหนียว เนื้อสัมผัสนุ่ม มีลักษณะเด่น คือ สามารถให้ผลผลิตเฉลี่ย 733 กิโลกรัมต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ ก.วก.1 และ ก.วก.2 สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 1,415 กิโลกรัมต่อไร่ ต้านทานโรคไหม้สูงในระยะกล้า และค่อนข้างต้านทานโรคขอบใบแห้ง ดีกว่าพันธุ์ ก.วก.1 และ ก.วก.2 อีกทั้งยังมีคุณภาพเมล็ดทางกายภาพดี ท้องไข่น้อย คุณภาพการสีดีมาก คุณภาพการหุงต้ม และรับประทานดี เนื้อสัมผัสดีใกล้เคียงกับพันธุ์ ก.วก.1 และ ก.วก.2 แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนแอต่อโรคเมล็ดด่าง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว
และแมลงบั่ว สำหรับพื้นที่แนะนำนั้น แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคเหนือ
2.ข้าวสายพันธุ์ IR96522-PTT-5-1-2-1-4-1 ดำเนินการวิจัยโดยศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ซึ่งต่อมาได้เสนอเป็นพันธุ์รับรองชื่อ กข113 โดยพันธุ์ดังกล่าวจัดเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง สูงประมาณ 117 เซนติเมตร ลำต้นค่อนแข็ง ไม่มีหาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 105 - 110 วัน เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม และ 107 - 115 วัน โดยวิธีปักดำ คุณภาพการสีดี ปริมาณโปรตีนในข้าวกล้อง 10.01% ข้าวพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์ปทุมธานี 1 ผลผลิตเฉลี่ย 946 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 1,124 กิโลกรัมต่อไร่ ที่แปลงเกษตรกร จังหวัดสุพรรณบุรี อีกทั้งยังเมีปริมาณอิมโลสต่ำ 16.84 เปอร์เซ็นต์ ข้าวสุกนุ่ม ค่อนข้างเหนียวและที่สำคัญ มีความต้านทานสูงต่อโรคไหม้ในระยะกล้า (ใบไหม้) ในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างและค่อนข้างต้านทานต่อโรคขอบใบแห้ง ในเขตภาคเหนือตอนล่าง แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนแอมากต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สำหรับพื้นที่แนะนำนั้น แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง
3. ข้าวเจ้าสายพันธุ์ RGDU07343-14-10-4-B-B-CPA-B-NKI-2 ดำเนินการวิจัยโดยศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ ซึ่งต่อมาได้เสนอเป็นพันธุ์รับรองชื่อ กข117 โดยพันธุ์ดังกล่าว จัดเป็นเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ความสูงประมาณ 113 เซนติเมตร ลำต้นแข็งมาก คอรวงสั้น เปลือกสีฟางร่องน้ำตาล ไม่มีหาง รูปร่างเรียว ผลผลิตเฉลี่ย 653 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 868 กิโลกรัมต่อไร่ ท้องไข่น้อย คุณภาพการสีดี ปริมาณอมิโลส 16.1 เปอร์เซ็นต์ ข้าวสวยเหนียว นุ่ม มีกลิ่นหอมเล็กน้อย ข้าวพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือ ถ้าเทียบกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ข้าวพันธุ์นี้จะทนต่อสภาพแล้งดีกว่า ต้นเตี้ย ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 อีกทั้งยังต้านทานสูงต่อโรคไหม้ในระยะกล้า (ใบไหม้) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงยังค่อนข้างต้านทานต่อโรคขอบใบแห้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างอ่อนแอต่อโรคไหม้คอรวง อ่อนแอต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและแมลงบั่ว เช่นเดียวกับพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 สำหรับพื้นที่แนะนำนั้น แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ประสบภัยแล้ง หรือพื้นที่มีโรคไหม้ และขอบใบแห้งระบาด
4. ข้าวเจ้าสายพันธุ์ BioH95-CNT-60-1-1-1-2-1 ดำเนินการวิจัยโดยศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก ซึ่งต่อมาได้เสนอเป็นพันธุ์รับรองชื่อ กข119 โดยพันธุ์ดังกล่าว เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ต้นสูงประมาณ 109-115 เซนติเมตร ลำต้นค่อนข้างแข็ง ข้าวเปลือกสีฟาง มีหาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 95 - 100 วัน เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม และ 105-115 วัน โดยวิธีปักดำ คุณภาพการสีดี ปริมาณอมิโลส 17.21 เปอร์เซ็นต์ ข้าวสุกนุ่มเหนียว มีกลิ่นหอม (2AP : 1.61 ppm) ข้าวพันธุ์นี้มีลักษณะเด่นคือ มีปริมาณอมิโลสต่ำ ข้าวสุกนุ่มเหนียว และมีกลิ่นหอม อายุเก็บเกี่ยวสั้น 95 วัน โดยวิธีหว่านน้ำตม 105 วัน โดยวิธีปักดำ ผลผลิตเฉลี่ย 777 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 993 กิโลกรัมต่อไร่ และค่อนข้างต้านทานโรคไหม้ในระยะกล้า (ใบไหม้) ในภาคเหนือตอนล่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างอ่อนแอต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และอ่อนแอต่อโรคขอบใบแห้ง สำหรับพื้นที่แนะนำนั้น แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคเหนือตอนบน