วันที่ 9 ก.ย. 2568 ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงบทบาทของพรรคประชาชนขณะนี้ ในการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย ว่า เราชัดเจนว่า เราจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเต็มตัวต่อไป ส่วนบทบาทเฉพาะหน้า โดยเฉพาะระยะเวลา 4 เดือนต่อจากนี้จนถึงยุบสภา บทบาทของเราจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.การติดตามการรักษาสัญญาของรัฐบาลภูมิใจไทย ในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่า จะทำตามข้อตกลงตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนทุกประการ ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การยุบสภา แต่หมายถึงกรณีการปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย และอยากชวนประชาชนติดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ ว่าตกเราคงแล้วจะต้องมีการทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 11 ก.ย.นี้ คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร มีการบรรจุวาระ และเชิญตัวแทนจากทุกพรรคการเมือง รวมถึงภาคประชาชนที่ทำงานเรื่องรัฐธรรมนูญ หารือถึงขั้นตอนถัดไป ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2.การตรวจสอบอำนาจรัฐของรัฐบาล ทั้งการดำเนินนโยบายเฉพาะหน้า และติดตามหากมีการใช้อำนาจโดยมิชอบ เข้าข่ายการทุจริตคอร์รัปชัน หรือเข้าข่ายการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
และ 3.เรื่องการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้าในสภา เนื่องจากในเวลานี้ สมการการเมืองแบบนี้ หากจะพูดถึงการพิจารณากฎหมายในแต่ละสัปดาห์ ถ้าพรรคฝ่ายค้านแต่ละพรรค ซึ่งรวมกันเป็นเสียงข้างมากในสภาเห็นชอบว่าควรจะพิจารณากฎหมายฉบับใดก็สามารถผลักดันได้ หรือหากมีกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพรรคฝ่ายค้านเห็นว่าไม่ควรเห็นชอบด้วย ก็จะไม่สามารถผลักดันได้ ดังนั้น ใน 4 เดือนนี้ หากพรรคฝ่ายค้านเห็นว่า มีประเด็นที่ตรงกัน ก็สามารถผลักดันร่วมกันได้
เมื่อถามว่าการโหวตให้พรรคภูมิใจไทยเช่นนี้เหมือนพรรคประชาชนกลายเป็นนั่งร้านให้ หากคณะรัฐมนตรีชุดที่กำลังจะออกมานี้ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ดีภายใน 4 เดือน แต่กระทบต่อพรรคประชาชนหรือไม่ นายพริษฐ์ ยืนยันว่า หากประชาชนไม่ใช่นั่งร้านให้ใคร เราเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว หมายความว่าเราจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มตัวเช่นกัน ไม่ใช่แค่แง่มุมของการรักษาสัญญาตามข้อตกลงเท่านั้น แต่หากมีการดำเนินการใดๆ แม้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเบี้ยวสัญญาเลย เราก็จะใช้กลไกสภาในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ ไต่ระดับตั้งแต่ การเสนอกระทู้ ญัตติ กรรมาธิการ การเปิดอภิปรายทั่วไป และการลงมติไม่ไว้วางใจ ย้ำว่า ไม่มีคำพูดไหนที่เรากลับไปกลับมา
เมื่อถามว่าสามารถทำงานกับพรรคเพื่อไทยได้อย่างสนิทใจหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวย้ำว่า เขามีสิทธิ์ในการขับเคลื่อนตามจุดยืนของตัวเอง แต่ก็ยังคิดว่าหากมีประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และพรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยสามารถผลักดันร่วมกันได้ ก็จะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
เมื่อถามถึงโผ ครม.ซึ่งมีสัดส่วนคนนอกค่อนข้างมาก นายพริษฐ์ มองว่า ในฐานะพรรคฝ่ายค้านเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้ง ครม. แต่ประการแรก การเสนอบุคคลภายนอกที่ไม่ดีอยู่ในแวดวงการเมืองเข้ามา ก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เราคิดว่าแปลกประหลาดในการเมืองไทย ควรเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นใน ครม.ทุกยุคทุกสมัย ที่จะมีการดึงคนที่มีความสามารถ หรือความรู้เฉพาะทางเข้ามาบริหารประเทศ สำหรับบุคคลภายนอกที่ถูกเสนอเข้ามาใน ครม.นี้ คงดูแค่ชื่อ ประวัติ หรือว่าหน้าตาไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยผลงาน
อีกประการที่ตนมองว่า สำคัญมากกว่า คือการหลีกเลี่ยงการตั้งบุคคลที่อาจมีการพัวพันกับคดีต่างๆ หรือมีความสุ่มเสี่ยงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาดำรงตำแหน่งใน ครม. เหมือนอย่างที่เราเห็นกันมาทุกยุคทุกสมัย ว่ามีรัฐมนตรีบางคน ที่ยังคงมีคดี ซึ่งเป็นข้อครหาสังคม ยังคงอยู่ในทุก ครม.ที่ผ่านมา รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญๆ ที่สังคมจับตามอง เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ควรจะหลีกเลี่ยง การนำบุคคลเอาใดทีอาจมีความเชื่อมโยง หรือความสัมพันธ์กับผู้ที่ปัจจุบันยังถูกกล่าวหา เช่น กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในคดีฮั้ว สว. หรือการฟอกเงิน ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามว่าคนที่พรรคประชาชนกังวลอาจจะได้เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี นายพริษฐ์ กล่าวว่า ที่พรรคประชาชนกังวล คงต้องบอกตามตรงว่า เป็นรัฐมนตรีมาทุกยุคทุกสมัย แน่นอน อาจจะมีหลายคนมองว่าการที่เราไปยกมือสนับสนุน คนให้เป็นนายกรัฐมนตรี และไปแต่งตั้งคนนั้นคนนี้ ก็เข้าใจได้ หากเราจะถูกมองว่า พรรคประชาชนควรมีส่วนรับผิดชอบ แต่เรายังคงยืนยันในจุดยืนเดิมต่อบุคคลดังกล่าว ว่าเราไม่อยากเห็นคนที่ถูกสังคมตั้งข้อครหามาเป็นรัฐมนตรี
เมื่อถามว่าดีลระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนจบแล้วหรือยัง หรือมีการวางหมากนอกเหนือจาก MOA นายพริษฐ์ กล่าวว่า ข้อตกลงต่างๆ ปรากฏต่อสาธารณะทั้งหมดอยู่แล้ว ซึ่งเราพยายามทำให้กระบวนการดังกล่าวมีความโปร่งใสมากที่สุด ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามได้มากที่สุด ณ เวลานี้ ไม่ได้มีเงื่อนไขข้อตกลงอะไร ที่ไม่ปรากฏต่อสาธารณะ แต่สิ่งที่สำคัญ คือช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยรักษาสัญญาตามเงื่อนไขที่ได้วางไว้