ดร.กิตติ  สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายพิเศษสถานการณ์ความยากจนและการสร้างโอกาสเพื่อยกระดับสถานะทางสังคม ในงานสัมมนา “สู้ชนะความจนครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี ภาคี ความสัมพันธ์” ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว โดยระบุว่า ฐานข้อมูลครัวเรือนยากจนปี 2566 ที่เกิดจากการสังเคราะห์ชุดข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจน โดยคณะวิจัย 779 คน ร่วมกับนักศึกษา 1,688 คน และภาคีเครือข่ายอีก 1,767 ภาคี พบว่า มีจำนวนคนจนรวมกัน 2.39 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.41 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ถึงร้อยละ 31.71 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 2 ได้แก่ ภาคใต้
มีสัดส่วนคนจน ร้อยละ 30.65 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 3 ได้แก่ ภาคกลาง มีสัดส่วนคนจน ร้อยละ 19.07 ของจำนวนประชากรในพื้นที่ อันดับ 4 ได้แก่ ภาคเหนือ มีสัดส่วนคนจน ร้อยละ 16.98 ของประชากรในพื้นที่ และอันดับสุดท้ายคือ กรุงเทพมหานคร มีสัดส่วนคนจนร้อยละ 1.60 ของประชากรในพื้นที่

ผู้อำนวยการ บพท. รายงานว่า ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าวิจัยบ่งชี้ว่า มูลเหตุแห่งความยากจนในสังคมไทย ร้อยละ 84 มีสาเหตุสำคัญมาจากการขาดเงินออม อันเนื่องมาจากมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 71 มาจากปัญหาหนี้สิน ร้อยละ 60 มาจากการขาดที่ดินทำกิน ร้อยละ 57 มาจากการขาดทักษะด้านอาชีพที่สามารถสสร้างรายได้ และร้อยละ 41 มาจาการเข้าไม่ถึงสวัสดิการจากรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนคนจนมักจะมีถิ่นพำนักอยู่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก

“บพท. ได้ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและภาคีในพื้นที่ ทำงานวิจัยแก้ปัญหาความยากจนลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และได้ออกแบบโมเดลแก้จนที่มีความสอดคล้องกับบริบทภูมิสังคมในพื้นที่ สำหรับนำไปประยุกต์ใช้แล้วถึง 299 โมเดล ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งยังได้สร้างนักจัดการพื้นที่เพื่อทำหน้าที่วิทยากรให้คำแนะนำแก่ชุมชนในการปรับใช้ประโยชน์จากโมเดลแก้จน กระจายตัวอยู่ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง กาฬสินธุ์ เลย นครราชสีมา อำนาจเจริญ สุรินทร์         ศรีสะเกษ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ลำปาง พิษณุโลก และแม่ฮ่องสอน “

ดร.กิตติ กล่าวด้วยว่า ผลจากการดำเนินงานวิจัยแก้จนอย่างต่อเนื่อง ยังก่อเกิดกองทุนแก้จน 34 กองทุน กระจายตัวอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง มุกดาหาร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร ยโสธร ชัยนาท พัทลุง อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา ปัตตานี ยะลา และยังเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดศูนย์วิจัยแก้จนขึ้นใน 3 พื้นที่คือ ปัตตานี พัทลุง และยะลา  อย่างไรก็ตาม ภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ยังร่วมกันเสนอแนะแนวนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนในพื้นที่ และแก้ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาภัยความมั่นคงบริเวณชายแดน รวมทั้งภัยสังคม ไปยังรัฐบาลอีกด้วย

ขณะที่นายสุรพล  โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยอย่างเป็นทางการไตรมาส1/2568 เท่ากับ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP เท่ากับ 87.4 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหากสูงเกินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าอันตราย

ทั้งนี้ จากที่ติดตามพบว่าหนี้ครัวเรือนแม้ในภาพรวมสัดส่วนต่อจีดีพีจะดูลดลง แต่ปัญหาไม่ได้หายไปยังคงอยู่ต่อเนื่อง  ขณะที่รายได้ของครัวเรือนต่าง ๆ ไม่เพียงพอ ทำให้ต้องเข้าสู่ระบบการกู้เกิดภาระหนี้กลายเป็นปัญหาซ้ำเติม รายได้ไม่สัมพันธ์กับภาระหนี้ที่หนักขึ้น ต้องแบกดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย  (รายได้ประจำวัน = รายจ่าย + ชำระหนี้ ที่เหลือเท่ากับเงินออม)

“จากภูเขาหนี้คนช่วงอายุ 20 – 90 ปี เป็นหนี้อะไรบ้าง พบว่ามีการซื้อไปก่อนผ่อนทีหลัง  คนเป็นหนี้เสียทั้งหมด 1.235 ล้านล้านบาท คิดเป็นบัญชีที่เป็นหนี้เสีย 9.6 ล้านบัญชี จำนวน 5.3 ล้านคน ขณะที่ลูกหนี้ 3.4 ล้านคน เป็นหนี้เสียที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท และจะเป็นปัญหาคดีความที่กลายเป็นปัญหาสังคม  ณ ปัจจุบันบริษัทติดตามหนี้ AMC จะซื้อหนี้ในอัตรา 5 บาทต่อมูลหนี้ 100 บาท เนื่องจากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 1.2 แสนล้านคือราคาหนี้ หากต้องจ่าย 6 พันล้านซื้อหนี้ ซึ่งค่าติดตามหนี้ 3.4 ล้านคนของบริษัทติดตามหนี้ คำนวณออกมาแล้วประมาณ 700 บาทต่อหัวต่อคน”

จากสถานการณ์ NPL ที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันหนี้จำนวน 1.24 ล้านล้านบาท ถ้าไม่มีมาตรการในการแก้ไขที่ได้ผลอย่างจริงจังจะทำให้ตัวเลขหนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.3 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 4.8% จากปัจจุบัน โดยกลุ่มลูกหนี้ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่ม Gen Y ที่เป็นคนที่อยู่ในวัยทำงานในตำแหน่งพนักงานระดับต้นเพราะว่าอัตราการเพิ่มของหนี้ NPL ของคนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวม