วันที่ 8 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายสุริยา แจ่มน้อย อายุ 63 ปี อยู่ ม.11 ต.คูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรี ว่า ขอให้สื่อฯช่วยเป็นสื่อกลางในการตามหานายรักเด่น แจ่มน้อย อายุ 18 ปี ซึ่งเป็นลูกชายและได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ ประจำปี 2569 แล้ว แต่ในช่วงพักก็อยู่บ้านและหายตัวออกจากบ้านเมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 ส.ค.68 ที่ผ่านมา โดยได้รับทราบจากอดีตภรรยาที่เลิกรากันไปและเป็นแม่ของลูกชายได้แจ้งมาว่า ได้มีการพูดคุยกับลูกชายก่อนที่จะหายตัวไป ทราบว่าได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อจะไปทำงานโดยสมัครผ่านแอปหางานในเฟสบุ๊ค ซึ่งลูกชายได้บอกกับแม่ว่า ทำงานแค่หน้าคอมฯ ได้เดือนละ 18,000 บาท หากขยันก็จะมีเงินโบนัสพิเศษอีกเดือนละ 5,000 บาท และทางเพจยังได้โอนเงินเป็นค่าเดินทางมาให้ลูกชายก่อนด้วยทำให้ลูกชายหลงเชื่อ โดยลูกชายได้ส่งรูปตึกที่ลูกชายไปทำงาน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสถานอาบ อบ นวด และยังส่งรูปเตียงนอนซึ่งเป็นเตียงนอน 2 ชั้น ทำให้แม่รู้สึกว่ามันมีความผิดปกติ จึงได้พยายามส่งข้อความไปหาลูกหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการตอบกลับมาว่า กำลังทำงาน ยุ่งอยู่
ซึ่งแม่ของลูกบอกว่า จะไปหาที่ทำงานก็ไม่มีการตอบกลับมาอีก จนแม่ส่งข้อความไปว่าจะไปแจ้งความแล้วนะ ก็มีข้อความตอบกลับมาว่า แจ้งทำไม หลังจากนั้นก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย แม่ของลูกจึงได้ไปขอดูกล้องวงจรปิดจากสถานีขนส่งในกรุงเทพฯ ก็พบว่าในช่วงสายของวันที่ 20 ส.ค.68 ลูกชายหิ้วกระเป๋าไปนั่งรอรถซึ่งมีรถมารับจริงแต่ไม่ทราบว่าไปที่ไหน และในช่วงวันที่ 21 ส.ค. ก็ยังมีการส่งข้อความพูดคุยกับลูกอยู่ แต่ในวันเช้าวันที่ 22 ส.ค. ก็ติดต่อลูกชายไม่ได้อีกเลย หลังจากนั้นช่วงกลางดึกของวันที่ 22 ส.ค. ก็มีแฟนสาวของลูกชายที่อยู่ต่างจังหวัดโทรมาหาตนและบอกว่า ลูกชายส่งข้อความมาขอให้ช่วย โดยบอกว่า โดนเขมรจับมา ช่วยด้วย ออกระบบก่อนนะ รักเธอนะ เบอร์พ่อเค้า 0817....64 หลังจากนั้นก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย ซึ่งเมื่อตนรู้เรื่องจากแฟนสาวของลูกชายก็เลยรีบมาแจ้งความที่ สภ.เมืองราชบุรี เพื่อให้ช่วยติดตามลูกชาย เพราะเป็นห่วงมากไม่รู้ว่าจะไปอยู่อย่างไร อยากได้ตัวลูกชายกลับมาทุกวันนอนไม่หลับเลย วันนี้ก็เลยจะมาสอบถามความคืบหน้ากับพนักงานสอบสวนที่แจ้งความไว้ เพราะเชื่อว่าลูกชายอาจจะถูกหลอกไปเหมือนกับที่มีข่าวออกมา และอยากฝากเตือนให้กับคนที่คิดจะหางานทำว่าอย่าไปหลงเชื่อเพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อเหมือนลูกชายของตนเอง
เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนก็บอกว่า จะได้ให้ทางฝ่ายสืบสวนได้ติดตามเส้นทางการเงินของผู้ที่โอนเงินมาให้ลูกชายเพื่อเป็นค่าเดินทางว่าโอนมาจากไหนและเป็นบัญชีของใคร รวมทั้งจะได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางตั้งแต่ออกจากสถานีขนส่งในกรุงเทพฯด้วย และหลังจากนี้ก็จะไปร้องที่ ดีเอสไอ ให้ช่วยในเรื่องนี้ รวมทั้งขอฝากไปยังนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ให้ช่วยดำเนินการอย่างจริงจังกับเพจเฟสบุ๊คที่หลอกคนไปทำงานซึ่งเป็นคนไทยหลอกคนไทยกันเองด้วย