การตั้งรัฐบาลใหม่ ภายใต้ รหัส “หนู 1” กำลังขยับเดินหน้าไปอย่างคึกคัก และเข้มข้น  ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล”  นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 แม้จะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”  มีเงื่อนไขการบริหารประเทศเพียง 4 เดือน จากนั้น จะต้องประกาศยุบสภาฯ ตาม MOA ที่ทำเอาไว้กับ พรรคประชาชน แต่สิ่งเหล่านี้ อาจไม่ใช่ “ตัวแปร” ที่จะทำให้เกมใหญ่ ที่พรรคภูมิใจไทย ปักธงเอาไว้ในใจนั้น เปลี่ยนไป

“เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะพรรคใหญ่ กุม 143 สส.เพิ่งมีมติยกมือโหวตอนุทิน ได้เป็นนายกฯ ประกาศชัดเจนในสภาฯวันโหวตนายกฯ ว่าพรรคประชาชน ไม่ได้เลือกให้อนุทิน เข้ามาบริหารประเทศ หรือสะสมสส.มาเติมเพิ่มขึ้น แต่ต้องการให้ เข้ามาเพื่อ “ยุบสภาฯ” ตามกรอบ 4 เดือน รวมทั้งต้องดำรงสถานะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”

แต่เมื่อผ่านพ้นวันโหวต ไปแล้ว ผลคะแนนโหวตที่เทให้อนุทิน อยู่ที่ 311 เสียง ถือว่าเกินกึ่งหนึ่ง 247 เสียง อย่างท่วมท้น ได้ชี้ให้เห็นร่องรอยแล้วว่า “รัฐบาลใหม่” ที่นำโดย พรรคภูมิใจไทย นั้นเนื้อหอมแค่ไหน ?

บนความคาดหวังของผู้คนในสังคม ที่อยากให้ รัฐบาลใหม่ เข้ามาเร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง ตลอดจนความขัดแย้ง ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งหลายคนคาดหวังว่าเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ไม่มีคนในครอบครัวชินวัตรแล้ว การดำเนินการทั้งด้านการทหารและการเมืองระหว่างประเทศ น่าจะมีแนวโน้มเป็นบวกมากกว่าที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าจุดแข็งที่พรรคภูมิใจไทย  “อ่านขาด”  นั่นคือการเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ฟื้นโครงการที่เคย “โดนใจ” พี่น้องประชาชน อย่าง “คนละครึ่ง” ที่เคยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลมาแล้วในสมัยรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกฯ

พรรคภูมิใจไทยขยับเกมเร็ว เมื่อส่งสัญญาณ “ฟื้น” โครงการคนละครึ่ง ออกมาปลุกทั้ง "ประชาชน" ตลอดจน “ร้านค้า” ล่าสุดวันนี้ มีการ “ขานรับ” จาก “ลวรณ แสงสนิท” ปลัดกระทรวงการคลัง  เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่ง ที่รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย จะนำกลับมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง นั้นขณะนี้ระบบและแพลตฟอร์มที่เคยพัฒนาไว้ยังคงพร้อมใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องสร้างใหม่ ทำให้สามารถเดินหน้าโครงการได้ทันที หากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ

“วันนี้เราสามารถนำระบบและแพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้วมาใช้ใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องสร้างใหม่ ซึ่งในทางเทคนิคไม่มีปัญหา พร้อมดำเนินการทันที เริ่มได้ในเดือน ต.ค.นี้ (8 ก.ย.2568)

ปลัดกระทรวงการคลัง ยังอธิบายด้วยว่า ในส่วนของงบประมาณได้มีการเตรียมไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ อยู่ที่  25,000 ล้านบาท  และหากวงเงินดังกล่าวไม่เพียงพอ สามารถพิจารณาปรับโยก “งบกลาง” มาเพิ่มเติมได้ ทำให้มั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะสามารถเริ่มได้ทันภายในเดือนต.ค.68 นี้อย่างแน่นอน

หมายความว่า ในเดือนหน้า  โครงการคนละครึ่ง ที่เคยสร้างความนิยมและกระตุ้นเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะ “รากหญ้า” ได้จริง จะเกิดขึ้นและใช้ได้แล้ว

นอกจากนายกฯอนุทิน ขยับด้วยเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อเร่งปิดจุดอ่อนที่ รัฐบาลชุดที่แล้วเคย “ทำไม่สำเร็จ” แล้ว งานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือนไม่น้อย

การดึง “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว”  อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เข้ามานั่ง รมว.ต่างประเทศ  แน่นอนว่าเพื่อขยับในส่วนของ “การต่างประเทศ” การเดินหน้าเจรจาในเวทีต่างๆ ขณะที่งานด้านการทหาร เว้นที่เอาไว้ให้กับ “ฝ่ายความมั่นคง” ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดคน” ลงมานั่ง กระทรวงกลาโหม ทั้งว่าการฯและรมช. ล้วนเห็นสัญญาณว่า “ฝ่ายการเมือง” พาถอยกันหมด

การเป็นรัฐบาล 4 เดือนสำหรับ พรรคภูมิใจไทยและนายกฯอนุทิน นั้น แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่าอาจจะ “อยู่ยาว” เกิน 4เดือน และถ้าหากเป็นเช่นนั้น “พรรคประชาชน” ในฐานะที่โหวตหนุนอนุทิน จะรับผิดชอบอย่างไร มิกลายเป็น “ถูกหลอก” หรือไม่ ให้พาเสียง "143 สส." มาโหวตให้พรรคสีน้ำเงินหรือไม่ 

ทว่า เกมที่พรรคภูมิใจไทย อาจมองและประเมินบริบทการเมืองเวลานี้ได้ว่า “อะไร” คือสิ่งที่ประชาชนต้องการ และ “อะไร” คือสิ่งที่ รัฐบาลใหม่ ไม่ควรพาตัวเองเข้าสู่ “ความเสี่ยงสูง

ในทางกลับกัน หาก “รัฐบาลเฉพาะกิจ” สามารถ “ซื้อใจ” ด้วยการแก้ปัญหาใหญ่ ทั้งเรื่องปากท้อง และความดึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ดีกว่าที่ผ่านมา การ “อยู่สั้น” วันนี้ แค่ 4 เดือน คือการวางเกม “อยู่ยาว” หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ได้ไม่ยาก  !!