บทความพิเศษ

นงค์ลักษณ์ โชติวิทยธานินทร์

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

มหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เป็น “สถาบันการศึกษา” ที่มอบปริญญาแก่ผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันและความคาดหวังที่ซับซ้อนจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน ผู้ปกครอง และผู้เรียน ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความไม่แน่นอน มหาวิทยาลัยไม่อาจเล่าเรื่องราวของตนเองแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เนื่องจากการเล่าเรื่องเชิงสถาบัน (Institutional Narrative) แบบดั้งเดิมเน้นที่การเป็นศูนย์กลางวิชาการ การมีคณะวิชาครบถ้วน การทำวิจัย การผลิตบัณฑิต และการบริการวิชาการแก่ชุมชน ซึ่งเล่าเรื่องในลักษณะนี้ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่ง “คล้ายกัน” และไม่อาจสร้างความแตกต่าง เมื่อมหาวิทยาลัยก้าวเข้าสู่ยุคแห่งปัญญาจำเป็นต้องมี “การเล่าเรื่องใหม่” หรือ  “Reframing the Narrative”

การ “Reframing the Narrative” หรือการปรับกรอบการเล่าเรื่องใหม่ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสะท้อนบทบาทที่แท้จริงและศักยภาพมหาวิทยาลัยที่มี Reframing the Narrative ในบริบทนี้ เป็นการเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องราวขององค์กร จากการมุ่งเล่าที่ “สิ่งที่ทำ” ไปสู่การเล่าถึง “คุณค่าและการเปลี่ยนแปลงที่สร้างขึ้น” สำหรับมหาวิทยาลัย การ Reframe ไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่อย่างผิวเผิน แต่คือการตีความพันธกิจเดิมในมุมมองใหม่ เชื่อมโยงกับประเด็นที่สังคมและโลกให้คุณค่า เช่น ความยั่งยืน นวัตกรรม ความเสมอภาค และการสร้างคนที่พร้อมสำหรับอนาคต

กรณีของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต Narrative แบบดั้งเดิมอาจเล่าถึงความเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตบัณฑิต ทำวิจัย และมีโครงการเพื่อชุมชน แต่เมื่อ Reframe แล้ว เนื้อหาจะเปลี่ยนไปเป็นการเล่าว่า มหาวิทยาลัยสวนดุสิตคือ “พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่เชื่อมโยงปัญญา ความร่วมมือ และนวัตกรรม เพื่อนำสังคมไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

Reframing the Narrative ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ทำให้มหาวิทยาลัยถูกเล่าเรื่องในฐานะ พลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง มากกว่าการเป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษา และ “มหาวิทยาลัยสวนดุสิตไม่ใช่แค่สถาบันอุดมศึกษาผู้ให้ปริญญา แต่คือผู้สร้างผู้นำยุคใหม่
ผู้แปลงงานวิจัยเป็นนวัตกรรม ผู้สร้างเครือข่ายตลอดชีวิต และผู้ก้าวเคียงข้างไปกับชุมชน เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ดังนี้

1. จาก Academic Excellence → การสร้างผู้นำยุคใหม่ Narrative แบบเดิมของมหาวิทยาลัยมักเล่าถึง “ความเป็นเลิศทางวิชาการ” แต่สิ่งนี้ยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคมปัจจุบัน เมื่อ Reframe แล้ว จุดเน้นจึงเปลี่ยนไปว่า มหาวิทยาลัยสวนดุสิตไม่เพียงสอนหนังสือ แต่คือผู้สร้าง “Next Generation Leaders” ที่มีคุณธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และมาตรฐานสากล ซึ่งบัณฑิตที่จบจาก ม.สวนดุสิต จะไม่ได้ถูกมองเพียงว่าเป็นผู้ถือปริญญา แต่เป็นผู้นำแห่งอนาคตที่สามารถขับเคลื่อนประเทศ และทำงานร่วมกับประชาคมโลกได้ การเล่าเรื่องลักษณะนี้จะทำให้สังคมมองว่าการเรียนที่ ม.สวนดุสิต เป็น “การลงทุนเพื่ออนาคตของสังคม” ไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อหางานทำ

2. จาก Research → นวัตกรรมที่เปลี่ยนชีวิต งานวิจัยเชิงวิชาการในอดีตมักถูกตีความว่าเป็นเพียงการผลิตบทความลงวารสาร แต่การ Reframe ช่วยให้มหาวิทยาลัยสามารถเล่าเรื่องใหม่ว่า งานวิจัยที่ ม.สวนดุสิต ไม่หยุดอยู่ที่ทฤษฎี แต่ถูกแปลงเป็น นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง (Research to Innovation & Business) ตัวอย่างเช่น การผลักดัน SDU Research Club ให้เป็นพื้นที่บ่มเพาะนวัตกรรมและการต่อยอดเชิงธุรกิจ การสร้างผู้ประกอบการใหม่ (Entrepreneurship) และการร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อแก้ปัญหาสังคม สะท้อนว่าการวิจัยไม่ใช่เพียงการสะสมความรู้ แต่คือเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มมูลค่าให้กับสังคม

3. จาก Student & Alumni → พลังเครือข่ายตลอดชีวิต การเล่าเรื่องแบบเดิมมองนักศึกษาเป็นผู้เรียน และศิษย์เก่าเป็นผู้ที่จบการศึกษาไปแล้ว แต่ Narrative ใหม่ของ ม.สวนดุสิตขยายความหมายไปว่า มหาวิทยาลัยคือผู้สร้าง “Lifelong Empowerment” บัณฑิตไม่เพียงมีความรู้วิชาการ แต่พร้อมทำงานจริง มี Soft Skills, Employability, และ Soft Power ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในระดับสากล ขณะเดียวกันศิษย์เก่าก็ไม่ใช่แค่ผู้จบการศึกษา แต่เป็นเครือข่ายพลังทางสังคมที่เชื่อมโยงกลับมาสร้างคุณค่าใหม่ให้มหาวิทยาลัยและชุมชนอย่างต่อเนื่อง

4. จาก Community Engagement → การพัฒนาที่ยั่งยืนแบบองค์รวม มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน แต่ ม.สวนดุสิต Reframe Narrative นี้ใหม่ โดยเล่าว่า ม.สวนดุสิต ไม่ได้เพียง “ทำโครงการให้ชุมชน” แต่เป็น “พันธมิตรการพัฒนา” ที่เดินเคียงข้างกับชุมชนในการสร้างเศรษฐกิจองค์รวม (Holistic Economy) และการเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusive Growth) ด้วยการบูรณาการความรู้เข้ากับท้องถิ่น โดย ม.สวนดุสิต ช่วยเสริมศักยภาพการบริหารจัดการ สร้างนวัตกรรมท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิต ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับการมองว่าเป็นเพื่อนของชุมชนมากกว่าผู้มาเยือนที่ทำโครงการระยะสั้น

5. จาก Learning Spaces → ระบบนิเวศการเรียนรู้แห่งอนาคต การมีห้องสมุดหรือศูนย์การเรียนรู้เคยเป็น Narrative ที่ใช้เล่าถึงความพร้อมของมหาวิทยาลัย แต่ ม.สวนดุสิต ได้ปรับกรอบใหม่ว่ามี Next Learning Ecosystem ภายใต้แนวคิด One World Library (OWL) OWL ไม่ใช่เพียงแค่ห้องสมุด แต่คือระบบนิเวศที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เปิดกว้างสำหรับคนทุกช่วงวัย สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาสนับสนุน ซึ่ง Narrative นี้สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่มุ่งไปสู่การเรียนรู้แบบ Personalized Learning และ Open Education

6. จาก Management → การบริหารด้วยปัญญาและความร่วมมือ ในมุมการบริหารจัดการ Narrative แบบเดิมคือการมีระบบที่ได้มาตรฐาน แต่ Narrative ใหม่เล่าเรื่องว่า ม.สวนดุสิตคือมหาวิทยาลัยที่ใช้ Wisdom & Collaboration เป็นหัวใจของการบริหาร และใช้การบรหารจัดการแบบ Share & Care สะท้อนความเชื่อว่า ความสำเร็จไม่ได้มาจากขนาดหรือทรัพยากรที่มากกว่า แต่มาจากการใช้ปัญญาและความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ ทำให้ ม.สวนดุสิต มีเอกลักษณ์ว่าเป็นมหาวิทยาลัย “Small but Smart” หรือ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ในระดับชาติและสากล

บริบทที่โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและสังคมต้องการคำตอบใหม่ ๆ มหาวิทยาลัยที่ไม่ปรับการเล่าเรื่องเสี่ยงที่จะถูกกลืนหายไป การ Reframing Narrative เป็นแนวทางหนึ่งที่ยืนยันว่า มหาวิทยาลัยมีประวัติศาสตร์ มีความน่าเชื่อถือ มีวิสัยทัศน์ และพลังที่จะร่วมขับเคลื่อนอนาคต ทั้งในฐานะสถาบันการศึกษา ผู้สร้างความรู้ และผู้ร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืน เพราะการเล่าเรื่องใหม่ทำให้มหาวิทยาลัยแตกต่าง มีเอกลักษณ์ และพร้อมจะยืนหยัดในฐานะ “พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของประเทศและโลก