วันที่ 8 ก.ย.2568 เวลา 09.42 น. ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว

ทั้งนี้นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) คมนาคม เสนอรายงานผลการศึกษาว่า หลักการสำคัญของร่างพ.ร.บ.มี 5 ประการ คือ 1.จัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการทุกหน่วยนำไปใช้ให้ประชาชนใช้บริการได้ด้วยบัตรเดินทางใบเดียว 2.ให้อำนาจรมว.คมนาคม เพื่อออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม 3.จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม 4.การกำหนดสิทธิของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตขอรับการสนับสนุนจากกองทุน

และ5.ในกรณีจำเป็นเพื่อรักษาการให้บริการ หรือประโยชน์ระบบตั๋วร่วม หรือป้องกันความเสียหายต่อสาธารณชน ให้ตราพระราชกฤษฎีกา โดยต้องเจรจาและทำความตกลงร่วมกับผู้ประกอบกิจการขนส่งสาธารณะที่จะถูกบังคับรวมถึงรับฟังความเห็นของประชาชนตามความเหมาะสม

“แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย คือภาคสมัครใจกับผู้ประกอบการปัจจุบัน หากต้องการเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมและต้องการได้รับสนับสนุนจากองทุนต้องขอรับใบอนุญาต แต่หากไม่ประสงค์เข้าสู่ระบบตั๋วร่วม สามารถดำเนินการได้ตามเดิม แต่ไม่มีสิทธิรับสนับสนุนจากกองทุน 

ทั้งนี้เมื่อกฎหมายบังคับใช้ หน่วยงานรัฐต้องทำมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเป็นเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ทุกราย แต่กรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นให้ระบบขนส่งสาธารณะต้องใช้ระบบตั๋วร่วมและต้องได้รับใบอนุญาตให้สามารถออกพระราชกฤษฎีกา” นายวุฒิชาติ อภิปราย

ประธานกมธ.คมนาคม อภิปรายต่อว่า กมธ.มีข้อเสนอแนะที่ควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมาย คือ 1.เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ประธานสภาองค์กรรของผู้บริโภคเป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม อีก 1 ตำแหน่ง และเพิ่มจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก 3 คน เป็น 5 คน 2.แก้คุณสมบัติเรื่องอายุขั้นต่ำของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สอดคล้องกับกฎหมายอื่นๆรวมถึงรัฐธรรมนูญที่กำหนดอายุขั้นต่ำของนายกฯไว้ที่ 35 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

3. ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะด้านสถานะทางการเงินและความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายต่อภาครัฐ

4.การส่งเสริมการแข่งขัน และการป้องกันการผูกขาด และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กกรอนิกส์ (E-PAYMENT) ทั้งนี้ การกำหนดอัตราทุนจดทะเบียนในมูลค่าสูง และต้องชำระเต็มจำนวน อาจเป็นข้อจำกัดต่อการปฏิบัติและข้อต่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการแข่งขันทางธุรกิจ และ 5.การกำหนดวาระของกรรมการที่กำหนดให้ เมื่อพ้นวาระไป 1 ปีสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก ทั้งนี้ควรแก้ไขให้มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อความโปร่งใสและป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นได้เปิดให้สมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวาง ซึ่ง สว.ส่วนใหญ่สนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมายเพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชนและมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เป็นต้น

ขณะที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว. อภิปรายสนับสนุน และเสนอแนะว่านโยบาย 20 บาทตลอดสายที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศจะทำให้ได้ภายในเดือนพ.ย. นี้ ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง  แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกฯคนใหม่ตนกังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นกาารเลือกตั้งสมัยหน้า

อย่างไรก็ดีเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมายรวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ ควรเป็น กมธ.ชุดเดียวกันเพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บางตลอดสายทำได้จริง

ขณะที่นายอลงกต วรกี สว. อภิปรายว่า สำหรับการตั้งกองทุนสำหรับตั๋วร่วม ควรพิจารณาการจัดสรรงบเพื่อให้ดึงเป็นรายได้ของประชาชนในระบบ

หลังจากสว.อภิปรายเสร็จสิ้นแล้ว ที่ประชุมวุฒิได้ลงมติเสียงเอกฉันท์ 155 เสียง รับหลักการและตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณาขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่รับร่างพ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย. นี้