การเมืองไทยในช่วงสองปีที่ผ่านมาไม่อาจละสายตาจากชื่อ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ลี้ภัยยาวนานกว่าทศวรรษ หลังตัดสินใจกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น. ด้วยเครื่องบินส่วนตัวจากสิงคโปร์ลงที่สนามบินดอนเมือง อาคารผู้โดยสาร Mjets Private Terminal ที่กลายเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทันที
บรรยากาศวันนั้นเต็มไปด้วยมวลชนคนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับพร้อมกับครอบครัวทักษิณ ก่อนที่ทักษิณจะถูกนำตัวไปรับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งตัดสินจำคุกรวม 8 ปีจาก 3 คดี
แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทักษิณก็ได้รับการย้ายไปโรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างเหตุผลด้านสุขภาพ และจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่เคยกลับเข้าเรือนจำอีกเลย
และเพราะการกลับมาของทักษิณเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่รัฐสภาโหวตเลือกเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์หนักว่ามี “ดีลลับ” อยู่เบื้องหลัง เพื่อเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
หลังเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี ทักษิณก็สร้างแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 ด้วยการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกนับแต่กลับบ้านเกิด โดยแจ้งปลายทางที่สิงคโปร์ แต่สุดท้ายเครื่องบินไปลงที่นครดูไบ ซึ่งทักษิณอ้างว่าที่ต้องเปลี่ยนจุดหมาย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองถ่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงจนไม่สามารถลงที่สนามบิน Seletar ได้ทันเวลา
ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของทักษิณถูกจับตามองอย่างมาก เพราะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แทน แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
เนื่องด้วยความบังเอิญทางเวลานี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า การไปต่างแดนของทักษิณเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวจริง หรือเป็นการเดินเกมเพื่อหลบแรงกดดันทางการเมืองและกฎหมายในประเทศ
เพราะเลือกออกนอกประเทศก่อนวันนัดของศาลฎีกาในวันที่ 9 กันยายน ที่จะมีคำพิพากษาว่าการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจของทักษิณเป็นการ “ป่วยทิพย์” และควรถูกนับเป็นโทษจำคุกหรือไม่
สถานการณ์นี้ทำให้หลายคนเชื่อว่าทักษิณกำลังใช้กลยุทธ์สองชั้น ชั้นแรกคือเตรียมใบรับรองแพทย์จากต่างประเทศเพื่อใช้ต่อสู้กับข้อกล่าวหา และชั้นที่สองคือการเผื่อทางหนี หากไม่สามารถหาทางรอดในประเทศได้
แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลโดยตรงต่ออนาคตของพรรคเพื่อไทย เพราะทุกก้าวย่างของทักษิณสะท้อนต่อทิศทางของพรรคโดยตรง และกลายเป็นที่มาของคำถามว่าพรรคเพื่อไทยจะไปต่ออย่างไร เมื่อผู้นำจิตวิญญาณของพรรคต้องเผชิญคดีความที่ยังค้างคา และผจญกับแรงเสียดทานจากฝ่ายตรงข้ามางการเมือง
อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเพียงทักษิณเท่านั้น หากแต่ยังมี “นายหญิง” ที่แม้จะอยู่หลังฉาก แต่ก็เชื่อกันว่ามีบทบาทไม่น้อยกว่าทักษิณ เพราะเป็นผู้คุมทิศทาง และท่อน้ำเลี้ยงให้กับพรรค ทำให้แม้ทักษิณจะเลือกไม่กลับประเทศไทย แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังคงไม่ถึงกับล่มสลาย จะยังคงดำรงอยู่เพื่อหาช่องทวงคืนอำนาจทางการเมือง
ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า “สงครามยังไม่จบ”
ที่สำคัญการที่แพทองธาร ถูกตีตราบาปจากคดีคลิปเสียงฮุนเซน กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้ตระกูลชินวัตรไม่อาจถอยง่าย ๆ
การบินไปดูไบของทักษิณจึงอาจเป็นการเดินหมากเพื่อยื้อเวลา เปิดทางเจรจา และหากจำเป็น ก็พร้อมกลับไปอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัยอีกครั้ง
ฉะนั้น การอ่านใจทักษิณในเวลานี้ จึงไม่ใช่เพียงการถามว่าจะกลับมาฟังคำพิพากษาคดีชั้น 14 ไหม แต่คือการส่องอนาคตของพรรคเพื่อไทย ว่าจะสามารถฝ่ากลางแรงกดดันจากคดีความ และเกมอำนาจในประเทศที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ได้หรือไม่
#ทักษิณ #แพทองธาร #พรรคเพื่อไทย #ดูไบ #ข่าวการเมืองล่าสุด #การเมืองไทย