วันที่ 5 ก.ย.2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคกล้าธรรม ได้โพสต์ข้อความส่วนตัว ระบุว่า ในวันแห่งการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ส.พรรคประชาชนรับว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการกระทำที่ "ขัดต่อจิตสำนึก" ของตนเอง และขัดต่อความต้องการของประชาชน 14 ล้านคนที่เคยลงคะแนนให้ แต่เป็นเส้นทางที่พรรคเห็นร่วมกันว่า "เป็นทางเลือกที่เลวร้ายน้อยที่สุด" ต่ออนาคตของประเทศ
นายพริษฐ์ กล่าวว่า การตัดสินใจที่ยากลำบากนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจในตัวใคร แต่เป็นการใช้เสียง ส.ส. กว่า 140 คน เพื่อขยับทิศทางประเทศ และเป็นความพยายามออกแบบกลไกเพื่อควบคุมอีกฝ่ายให้รักษาข้อตกลงให้รัดกุมที่สุด พร้อมเปรียบเทียบพรรคประชาชนกับ "โซ่ตรวน" ที่จะใช้คล้องคอรัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดใหม่ โดยย้ำว่าความเป็นเอกภาพและการทำงานหนักของ ส.ส.ในพรรค คือสิ่งที่จะทำให้โซ่ตรวนนี้แข็งแกร่งที่สุด และจะใช้กลไกสภาเพื่อล้มรัฐบาลทันทีหากมีการผิดข้อตกลงหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ
สำหรับประชาชนที่ผิดหวังกับการตัดสินใจในครั้งนี้ ยืนยันว่า เสียงของประชาชนยังคงสำคัญเสมอ และยังคงมีผลต่อการตัดสินใจของพรรค ขณะเดียวกันก็ขอให้ผู้ที่เห็นด้วยกับพรรคเข้าใจผู้ที่เห็นต่างว่าทุกคนล้วนปรารถนาดีต่อประเทศ
ตนจึงได้ส่งสารโดยตรงถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยย้ำถึงหน้าที่สำคัญ 5 ประการที่ต้องตระหนักไว้เสมอ หากได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 1.ตำแหน่งที่ได้มาไม่ใช่เพราะความไว้วางใจจากประชาชน แต่มาจากความบิดเบี้ยวของกติกาตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งนายอนุทินมีหน้าที่ต้องเข้าไปแก้ไข 2.หน้าที่คือยุบสภา: และคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุดภายใน 4 เดือน ไม่ใช่การหาข้ออ้างเพื่อยืดเวลาอยู่ในอำนาจ 3.หน้าที่คือการปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่: ผ่าน สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่ควรบิดพลิ้วด้วยเทคนิคใดๆ 4.เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้การควบคุมของฝ่ายค้านเสียงข้างมาก: ไม่ใช่การไปเพิ่มเสียงของฝ่ายตัวเอง หรือยอมให้อำนาจนอกระบบเข้ามา 5.เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ: มีหน้าที่แค่ยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือตั้ง ครม. เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง
หลังจากนี้ ตนและพรรคจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ เพื่อติดตามและตรวจสอบทุกการกระทำของรัฐบาลใหม่ เพื่อไม่ให้มีการนำอำนาจของประชาชนไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใคร