ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” คือปรัชญาการเรียนรู้สมัยใหม่ ที่เรียกกันว่า “ศาสตร์พระราชา” นี้ เป็นพระราชอัจฉริยะของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยแท้

ถ้าใครเคยไปเยี่ยมชมบ้านสวนพลู ซึ่งท่านเจ้าของบ้าน คือท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเปิดให้ชมอย่างละเอียด “จนถึงห้องนอน” นั้นด้วย ก็จะพบว่าที่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ข้างหัวฟูกที่ปูนอน(เพราะท่านนอนกับพื้น) โต๊ะนี้มีผ้าลูกไม้ฉลุสีขาววางรองกรอบรูปไม้ทำสีออกเงิน ๆ ขนาดประมาณฝ่ามือกว่า ๆ นั่นคือกรอบที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในฉลองพระองค์ชุดลำลอง อันเป็นที่เคารพสักการะบูชาสูงสุดของท่านเจ้าของบ้าน เช่นเดียวกันบ้านริมแม่น้ำปิงที่เชียงใหม่ ที่ท่านไปใช้ชีวิตในบั้นปลาย ก็เป็นรูปใส่กรอบไม้ขนาดเอสี่ ซึ่งเป็นรูปที่ตัดมาจากปกนิตยสารไทมส์ เป็นรูปพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอีกเช่นกัน แต่รูปนี้มีข้อความที่นิตยสารฉบับนั้นพิมพ์คำภาษาอังกฤษตัวเขื่องไว้ด้วยว่า “The Working King”

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่เคยอวดอ้างว่า ท่านเป็น “คนสนิท” ของพระเจ้าอยู่หัว และถ้าใครมาถามอย่างนั้นท่านก็จะเอ็ดกลับไปด้วยว่า “เดี๋ยวเหาและขี้กลากกินหัวซะหรอก” นั่นไม่ใช่เพราะว่าท่านไม่อยากให้ใครไปตีสนิทกับพระเจ้าอยู่หัว แต่ท่านอยากให้ “รู้ที่ต่ำที่สูง” ที่คนไทยควรถวายเป็นพระเกียรติยศและเคารพเทิดทูนตลอดไป

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เคยถวายงานรองพระบาทพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อยู่หลายครั้ง ครั้งที่สำคัญมาก ๆ และท่านชอบที่จะมาเล่าให้กับคนใกล้ชิดฟังก็คือ ครั้งที่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถไปสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2503 ซึ่งท่านต้องทำหน้าที่คล้าย ๆ “ผู้อำนวยการด้านประชาสัมพันธ์” คือดูแลการทำข่าวและประสานงานด้านประชาสัมพันธ์ระหว่างคณะผู้สื่อข่าวไทยกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แต่พอได้ทำจริง ๆ ท่านบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนได้เป็น “เอกอัครราชทูต” คือต้องทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ของทุกประเทศ ที่ติดตามทำข่าวการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาในครั้งนั้น โดยเฉพาะในเวลาที่เกิดมีปัญหาของหน่วยงานระหว่างประเทศเหล่านั้น

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าว่า สหรัฐอเมริกาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอยู่หัวของเราดีมาก ซึ่งสหรัฐอเมริกานี้เป็นประเทศที่หลาย ๆ ประเทศในโลกมองว่าเป็นประเทศที่ “ยโสโอหังและน่าเกลียดน่าชัง” หรือ “Ugly” มาก ๆ ในสมัยนั้น (ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ. 2501 มีผู้แต่งหนังสือเรื่อง The Ugly American ที่แสดงถึง “ความน่ารังเกียจ” ของรัฐบาลอเมริกันที่ชอบมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับประเทศอื่น ๆ ต่อมาใน พ.ศ. 2506 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้แสดงภาพยนตร์ที่ทำบทจากนวนิยายเรื่องนี้ร่วมกับนายมาลอน แบรนโด ก็น่าจะเป็นผลมาจากการที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้แสดงความสามารถในด้านการประสานงานในการเสด็จเยือนครั้งนั้นให้เป็นไปอย่างราบรื่น จนทำให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง)

การที่สหรัฐอเมริกาได้ถวายการต้อนรับพระประมุขของไทยอย่างดียิ่ง ทำให้นานาชาติมองว่าสหรัฐอเมริกาต้องการประโยชน์จากไทยอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะการแสวงหาพันธมิตรให้ไทยเป็น “ฐานอำนาจ” (ภาษาการเมืองระหว่างประเทศเรียกว่า Spring Board คือกระดานที่ใช้กระโดดในสระว่ายน้ำ แต่นำมาใช้ในความหมายว่าการใช้ประเทศหนึ่งเป็นฐานที่จะแผ่ขยายอำนาจไปในประเทศอื่น ๆ) เพื่อต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลอยู่ในทวีปเอเชีย ที่มีประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้นำ

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวของเราเลย เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลของไทยกับสหรัฐอเมริกาดำเนินการด้วยกันโดยตรง รวมถึงที่ท่านก็ได้อธิบายแก่สื่อมวลชนของประเทศต่าง ๆ ว่า พระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงมีแต่ความห่วงใยประชาชนของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ท่านทรงกระทำอยู่คือการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อที่พระองค์ท่านจะได้ทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยพระองค์เอง แล้วร่วมแก้ปัญหาให้กับประชาชน โดยผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความรู้สึกผูกพันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนในแผ่นดิน อย่างที่ผู้คนในโลกตะวันตกเรียกว่า “United” นั่นเอง

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าเรื่องขำ ๆ ว่า พอท่านอธิบายว่าพระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงทำหน้าที่สร้าง United ในประเทศไทย พวกผู้สื่อข่าวฝรั่งก็ร้องอ๋อ แล้วบางคนก็บอกว่าสหรัฐอเมริกาน่าจะมี King บ้าง เพื่อที่จะได้เกิด United อย่างแท้จริงตามชื่อประเทศ (ฮา)

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าต่อว่า ความจริงท่านต้องการที่บอกว่าพระเจ้าแผ่นดินของไทยทรงเป็น “ขวัญชาติ” หรือ “The Moral of the Nation” แต่เกรงว่านักข่าวฝรั่งจะไม่เข้าใจ แต่ถ้านักข่าวถามท่านก็จะตอบว่าคือ Hero หรือวีรบุรุษนั่นไง เพราะวีรบุรุษคือผู้ที่ทำประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ให้กับประเทศชาติ เช่น การกอบกู้เอกราช หรือแก้วิกฤติของแผ่นดิน ที่ทำให้ประชาชนมีความภาคภูมิใจในชาติของตน เกิดความรักความสามัคคี สังคมก็มีความเป็นปึกแผ่น หรือ “สมานเชื่อมแผ่นดิน” อันตรงกับคำว่า United นั่นเอง

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า ลักษณะที่สำคัญของพระมหากษัตริย์ไทยคือ “ทรงเป็นมิ่งขวัญของคนในชาติ” นี่เอง คือคนไทยมีความรู้สึกผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่าแนบแน่น คนไทยเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ “ยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่” เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับพระมหากษัตริย์ก็แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งถึงความรักและความห่วงใยอย่างสูงสุด และทุกครั้งที่ได้เห็นหรือได้รับเสด็จก็รู้สึกเป็น “สิริมงคล” สูงสุด หรือแม้แต่เพียงทราบข่าวคราวของพระองค์ท่านก็มีความปลื้มปีติ เกิดความสุขสบายใจ เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครอง คอยอำนวยพรและดูแลให้คนไทยมีความสุขความเจริญอยู่ทุกคืนวัน

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชได้เสด็จพระราชดำเนินไปแทบทั่วทุกพื้นที่บนแผ่นดินไทยในระยะเวลาเกือบ 60 ปี ตั้งแต่ครั้งแรกใน พ.ศ. 2498 จนถึง พ.ศ. 2557 แม้ว่าคนไทยทุกคนจะไม่ได้ร่วมรับเสด็จหรือเห็นพระองค์จริง ๆ ด้วยกันทั้งหมด แต่ด้วยสื่อสมัยใหม่ในยุคนั้น คือวิทยุและโทรทัศน์ ก็ทำให้คนไทยทั่วประเทศ(รวมถึงที่อยู่ต่างประเทศ)เกิดความใกล้ชิดกับพระองค์ได้อย่าแนบแน่น แม้จะเป็นเพียงข่าวสารที่เผยแพร่ออกมา แต่ทั้งเสียงและภาพนั้นก็สร้าง “ภาพจริง” ให้เกิดขึ้นในหัวใจคนไทย นั่นก็คือพระเจ้าแผ่นดินของเรา “รัก ห่วงใย และเมตตา” ประชาชนของพระองค์อย่างมากมายเพียงใด

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีส่วนสำคัญในการแก้ “วิกฤติชาติ” หลายเรื่องอยู่หลายครั้ง โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เข้าไปรับรู้ด้วยอีกครั้งหนึ่งก็คือ “วิกฤติวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516” ซึ่งท่านก็เล่าให้ฟังว่า “ถ้าไม่มีในหลวง ยังมองไม่เห็นเลยว่าประเทศไทยนี้รอดมาได้อย่างไร”

ตอนนั้นเป็นสมัยการปกครองของจอมพลถนอม กิตติขจร ที่ว่ากันว่าเป็นเป็นทายาททางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (กระนั้นเมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. 2506 และจอมพลถนอมขึ้นมาดำรงนายกรัฐมนตรีสืบแทน ก็ไม่อาจจะต้านกระแสสังคมเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นที่จอมพลสฤษดิ์ได้ทำไว้ ทำให้รัฐบาลของจอมพลถนอมต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและเอาผิด และสามารถยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ได้กว่า 2,800 ล้านบาท รวมถึงมีการเปิดเผยเรื่องฉาวโฉ่อื่น ๆ ของจอมพลสฤษดิ์อีกหลายเรื่อง) หลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ก็ให้มีการเลือกตั้งในปีต่อมา โดยทหารก็ยังพยายามจะรักษาอำนาจให้อยู่ภายในกองทัพ โดยการตั้งพรรคการเมืองของทหาร ชื่อว่าพรรคสหประชาไทย ที่รวบรวมเอานักการเมืองจากพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง จนสามารถเอาชนะเลือกตั้งได้เป็นเสียงข้างมาก และได้จัดตั้งรัฐบาล แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่นานก็มีปัญหามากมาย อันนำมาซึ่ง “หายนะ” ที่ไม่ได้เป็นเพียงหายนะของรัฐบาล แต่ยังลุกลามไปถึงหายนะของชาติ ที่น่าจะรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

โชคดีของประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะที่มีพระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชายิ่ง เหนืออื่นใดก็คือ ทรงเป็น “มิ่งขวัญ” อันสามารถสมานความร้าวฉานและหายนะนั้นให้สุขสงบได้อย่างเหลือเชื่อ !