ช่วยกันคิดช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
คำพูดประโยคนี้เป็นของ Ahmad Sahron สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการที่ 3 ของสภาฯ อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
แต่จากคำพูดของเขาซึ่งถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทผู้ประท้วงอย่างร้ายแรง ทำให้บ้านของเขาถูกฝูงชนบุกทำลาย เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 31 สค. 2568
นอกจากนี้รถยนต์ไฟฟ้ายังถูกทุบทำลาย พร้อมการปล้นของมีค่าไปจำนวนหนึ่ง
ในขณะที่พรรค NASDEM ได้สั่งพักงาน Ahmad และ Nafa Urbach จากสภาผู้แทนราษฎร และยังมี สส.อีก 5 คน โดนพักงานด้วย โทษฐานผิดจริยธรรม
อนึ่งฝูงชนที่โกรธแค้นยังบุกเข้าไปในบ้านของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างน้อย 4 คน รวมถึงรัฐมนตรีคลังอีกด้วย
สาเหตุหลักของการประท้วงในครั้งนี้ เพราะสภาฯกำลังมีการพิจารณาที่จะปรับค่าตอบแทนทั้งเงินเดือน ค่าเช่าบ้านให้กับบรรดา สส. ซึ่งในสายตาประชาชนถือว่าสูงมาก ขณะที่ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและค่าของชีพที่สูงขึ้นมาก ทำให้มองว่าสสชุดนี้ไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน ทำงานไม่คุ้มค่า
อนึ่งอินโดนีเซียยังเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันที่รุนแรง ตลอดจนการบริหารจัดการที่ย่ำแย่ของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านพลังงานที่รัฐบาลเป็นเจ้าของวิสาหกิจขุดเจาะน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่น แต่ไม่อาจควบคุมราคาได้ดีพอ
แม้ว่าประธานาธิบดี สุเบียนโต ปราโบโว จะประกาศปรับลดสวัสดิการของนักการเมืองแล้ว แต่ความไม่พอใจที่หยั่งรากลึกยังคงอยู่ นั่นคือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนปัญหาการคอร์รัปชันยังคงรุนแรงอยู่ โดยกลุ่มนักศึกษาที่เป็นแกนหลักต้องการให้มีการปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง
แม้ว่าประธานาธิบดีปราโบโวจะประกาศให้ยุติการชุมนุม มิฉะนั้นจะใช้มาตรการการปราบปรามที่รุนแรง โดยได้มีคำสั่งด่วนไปยังทหารและตำรวจ ทำให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาองค์การสิทธิมนุษยชนทั้งหลายว่าเป็นการดำเนินการที่เกินกว่าเหตุ
หากมองย้อนกลับไปถึงการเริ่มต้นของรัฐบาลปราโบโวนับเริ่มที่การประสานประโยชน์กันกับผู้ปกครองเดิม คือ ประธานาธิบดีโจโกวิโดโด ซึ่งไม่อาจครองอำนาจต่อ เพราะครบเทอมตามรัฐธรรมนูญ คือ 2 สมัยแล้ว จึงส่งไม้ต่อให้ปราโบโว ซึ่งที่ผ่านมาเป็นคู่ท้าชิงมาตลอด โดยมีการวางแผนให้ลูกชายวิโดโดมาเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากปราโบโวอีกทอดหนึ่งในอนาคต
ดังนั้นการขึ้นสู่อำนาจของปราโบโวจึงราบรื่น เพราะคุมเสียงข้างมากในสภาอย่างแน่นหนา
แต่ปัญหาช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมในอินโดนีเซียนั้นมันสะสมหมักหมมมาช้านานและพอกพูนขึ้นจนมาถึงจุดที่ประชาชนทนกันแทบไม่ไหว และลุกขึ้นมาประท้วง เพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมของฝ่ายการเมืองที่ไม่คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนมันเกิดจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังย่ำแย่ด้วย
ดังนั้นเมื่อสภาฯ (DPRL) พิจารณาเพิ่มเงินสวัสดิการให้ตนเองจึงเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการรุกฮือขึ้นประท้วง และเริ่มบานปลายจากพฤติกรรมคำพูดของสมาชิกสภาบางคน
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่เบื้องลึกคือปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน และไม่ได้รับการแก้ไขในเชิงโครงสร้าง โดยมวลชนฐานรากต้องการให้มีการปฏิรูป หรือเอาเข้าจริงต้องการให้มีการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย”
เหตุการณ์จลาจลในครั้งนี้มีข้อสังเกต 2 ประการ คือ
ประการแรก อินโดนีเซีย แม้จะเคยถูกปกครองโดยเผด็จการทหารมายาวนานถึงกว่า 40 ปี โดนนายพลซูฮาโต ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯมาโดยตลอด ตั้งแต่การยึดอำนาจจากประธานาธิบดีซูกราโน ซึ่งเริ่มจะเอนเอียงไปร่วมมือกับจีนในยุคโจวเอนไหลและเนรูของอินเดีย จัดตั้งกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM)
แต่หลังจากการยึดอำนาจในครั้งนั้นแล้ว เมื่อสุฮาโตสิ้นอำนาจ กองทัพไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง ด้วยการทำรัฐประหารอีกเลย ทั้งนี้กองทัพอินโดนีเซียเป็นกองทัพขนาดใหญ่ แต่กองทัพจะปล่อยให้การเมืองแก้ปัญหาการเมืองกันเอง ทำให้การเมืองในอินโดนีเซียหยั่งรากลึกลงไปอย่างมั่นคง ทว่าปัญหาสำคัญคือแทนที่จะพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง การเมืองอินโดนีเซียกลับกลายเป็นการปกครองโดยคณะบุคคลที่ผนึกกำลังกันกับกลุ่มเศรษฐกิจที่ผูกขาดตัดตอนด้วยอำนาจการเมือง จึงเกิดช่องว่างระหว่างผู้ปกครองและประชาชนฐานรากในระดับที่กว้างและลึก และนี่คือความเปราะบางที่อาจนำไปสู่มิคสัญญีได้หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง
ประการที่สอง อินโดนีเซียมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เปรียบเหมือนกำแพงยาวเหยียดที่แผ่ขยายจากแปซิฟิกใต้ถึงมหาสมุทราอินเดียใต้ ดังนั้นจึงเป็นจุดสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์
เมื่อสหรัฐฯประกาศนโยบายอินโดแปซิฟิกเพื่อปิดล้อมจีน อินโดนีเซียจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯจะใช้ปิดล้อมจีน
ทว่าในปัจจุบันอินโดนีเซียกลับไปรวมกลุ่ม BRICS และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนและรัสเซีย โดยล่าสุดรัสเซียมีโครงการจัดสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ที่เมืองหลวงใหม่นูซันตารา ณ เกาะกาลิมันตัน
มุมมองข้อสังเกตประการที่สองนี้ และการเข้ามาเคลื่อนไหวของ NGO ที่ออกมาสนับสนุนการปะท้วง ก็น่าคิดว่าอาจเป็นผลงานคุณ C ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยการกระตุ้นให้เกิดการจลาจล จนในที่สุดทหารอาจจะต้องออกมาควบคุมอำนาจหรือจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะดำเนินนโยบายสนับสนุนยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกในการปิดล้อมจีนของสหรัฐฯ
ดูอินโดนีเซียแล้วย้อนมาดูไทย แม้ปัญหาของเราเมื่อเทียบกับเขาแล้วอาจจะไม่ใหญ่โตเท่า แต่บางจุดอาจแย่กว่า ทว่าปัญหาในเชิงโครงสร้างนั้นเป็นแบบเดียวกัน จึงหวังว่าจะไม่มีใครออกมาตะโกนว่า “ผู้คนที่เรียกร้องให้ยุบสภา เป็นคนโง่ที่สุดในโลก”
เพราะในความเป็นจริงอาจจะไม่มีการยุบสภาเลยก็ได้ โดยจะมีคนขี่ม้าขาวจากโควตาพรรค…ออกมาสืบทอดตำแหน่งไปจนหมดวาระของสภาฯ ซึ่งอาจจะทำให้หลายๆฝ่ายต้องผิดหวัง
อย่างไรก็ตามปัญหาในเชิงโครงสร้างก็ยังคงอยู่และถ้ายังไม่มีการแก้ไข มันก็จะปะทุเหมือนภูเขาไฟในอินโดนีเซียได้สักวัน