เมื่อวันที่ 4 ก.ย.68 น.ส.เก๋ (นามสมุติ) อายุ 41ปี ชาว จ.สุรินทร์ ได้พา ด.ญ.(เอ) นามสมุติ อายุ14 ปี ลูกสาว เข้ายื่นหนังสือต่อ นายณัพล พงษ์ปิยานุรัตน์ ประธานกรรมการอัยการภาคเอกชนจังหวัดสุรินทร์ โดยมี นายวิรัตน์ เศรษฐพัฒนชัย นายพงษ์ศักดิ์ พงษ์นุเคราะห์ศิริ ผศ.ดร.ชาตรีเกษ โพนทอง คณะกรรมการภาคประชาชน รับหนังสือคำร้องเพื่อร้องต่อประธานอัยการภาคประชาชนจังหวัดสุรินทร์
โดยหนังสือคำร้องระบุว่าเนื่องจากว่าลูกสาวของตนถูก นายเค (นามสมุติ) และบี (นามสมุติ) ล่อลวงลูกสาวของตนไปลวนลามเจตนาไม่บริสุทธิ์ ตนได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมือง จ.สุรินทร์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งและไม่ดำเนินคดีใดๆจึงได้ทำหนังสือมาร้องเรียนร้องทุกข์เพื่อร้องขอต่อประธานคณะกรรมการปกครองและอัยการภาคประชาชนให้ช่วยเหลือและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
โดย น.ส.เก๋ กล่าวอีกว่า ตนรับจ้างเป็นนายหน้าขายที่ดินให้กับพ่อของผู้ต้องสงสัย รับซื้อขายที่ดินทั่วไป และเป็นเจ้าของธุรกิจร้านขายยาแห่งหนึ่งภายในเมืองสุรินทร์ เป็นคนกว้าขวางมีผู้หลักผู้ใหญ่นับหน้าถือตากันเป็นจำนวนมาก ตนไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้ทำหนังสือมาร้องขอความเป็นธรรมกับประธานกรรมการอัยการภาคเอกชนให้นำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีให้ได้
วันเกิดเหตุตนเดินทางไปทำงานนายหน้าที่ สปป.ลาว พอกลับมาถึงบ้านลูกสาวเล่าให้ฟังว่าในระหว่างที่แม่ไม่อยู่บ้านได้มี นายเค ได้ขับรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีเทา ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาที่บ้านพักหลังจากนั้นได้รับเด็กหญิงเอ ลูกสาวของตนเองออกจากบ้านพักและพาไปจอดที่หน้าร้านขายยา แห่งหนึ่งในเมืองสุรินทร์
จากนั้น นายเค พานายบี ซึ่งเป็นเพื่อนขึ้นมาบนรถคันดังกล่าว มากระทำอนาจาร ดญ.เอ หลังจากนั้น นายเค ได้ส่ง ด.ญ.เอ ไปรับรถจักรยานยนต์ ที่อยู่ใกล้แยกไอคิว และด.ญ.เอ ลงจากรถและขับรถจักกรยานยนต์กลับบ้าน นายเค และนายชัย แจ้งว่าห้ามนำเรื่องดังกล่าวไปบอกใคร ต่อมาตนเองทราบเรื่องจึงเดินทางมาแจ้งความคดีไม่คืบหน้า จึงทำหนังสือพร้อมกับนำลูกสาวพามายื่นหนังสือร้องต่อประธานกรรมการอัยการภาคเอกชน
สำหรับลูกสาวของตนยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังจากเกิดเหตุลูกสาวมีอาการซึมเศร้าอยู่ตลอดเวลาประกอบกับหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอสอบถามน้องจะร้องให้อยู่ตลอดเวลา