วันที่ 4 ก.ย. 2568 เวลา 09.47 น. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดความไม่ชัดเจนระหว่างการยุบสภา ยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ ของนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ และรมว.มหาดไทย แทนนายกฯ มีอำนาจในการยุบสภาได้ แต่เนื่องจากยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมเสนอความเห็นเพิ่มเติมต่อสำนักองคมนตรี และนายภูมิธรรมยังคงเดินหน้ากระบวนการยุบสภาอยู่ ในขณะที่สภาก็ได้บรรจุวาระอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้แล้ว ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและข้อขัดแย้งทางกฎหมาย
"ผมและพรรคประชาชนเห็นว่า นายภูมิธรรมปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีอำนาจในการยุบสภา แต่เราไม่มีอำนาจที่จะตีความเรื่องนี้ได้โดยตรง ดังนั้นเพื่อให้ทุกอย่างมีความชัดเจนและไม่เกิดข้อขัดแย้ง จึงขอเรียกร้องให้นายภูมิธรรมตัดสินใจว่าจะเดินหน้ายุบสภาหรือไม่" นายณัฐพงษ์กล่าว และย้ำว่า หากกระบวนการยุบสภาไม่เกิดความชัดเจน สภาจะต้องเดินหน้าตามระเบียบวาระที่ได้บรรจุไว้ ซึ่งก็คือการเลือกนายกฯ. โดยจะใช้อำนาจของประธานสภาเพื่อดำเนินการในวันพรุ่งนี้
นายณัฐพงษ์ ยังได้กล่าวถึงการดำเนินคดีทางกฎหมายที่กำลังเกิดขึ้น โดยพรรคประชาชนไม่เห็นด้วยนายสุรทิน พิจารณ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ และนายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะกรรมการฝ่ายกฎหมาย พรรคภูมิใจไทย ยื่นฟ้องในการใช้มาตรา 112 และมาตรา 157 เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับนายภูมิธรรม ถือเป็นการใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้ง หรือที่เรียกว่า 'นิติสงคราม' กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย จึงอยากเรียกร้องให้ทั้งสองท่านถอนคำกล่าวโทษ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้พวกเราสามารถหาทางออกให้กับประเทศร่วมกันได้" นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ชิงนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าอาจจะมีความย้อนแย้งในตัวเอง ทั้งที่ในพรรคมีการเตรียมเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ยังมีกระแสข่าวว่าจะมีการเตรียม ยุบสภา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตนเรียกร้องขอความชัดเจนจากนายภูมิธรรมว่าตกลงแล้ว ได้ยุติกระบวนการยุบสภาแล้วหรือไม่อย่างไร ตนจึงอยากได้ความชัดเจนว่าตกลงแล้วยุติแล้วใช่หรือไม่ และเดินหน้าในการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้วใช่หรือไม่
เมื่อถามว่า มติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะเครดิตนายกรัฐมนตรี จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และขอยืนยันอีกครั้งว่า มติของพรรคที่ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เราไตร่ตรองและทบทวนมาอย่างดีแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ อยู่ในสภาพที่เราบอกว่า รักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการยุบสภา จึงอยากทำให้เกิดความชัดเจนก่อน หากรัฐบาลยังคงคาราคาซัง ไม่ทำให้เกิดความชัดเจน พวกเราก็เห็นควรว่า ควรจะดำเนินการตามที่ประธานสภาได้ใช้ดุลพินิจ บรรจุระเบียบวาระ เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ต่อไป
เมื่อถามว่าการฟ้อง ม.157 และ แจ้งความเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อนายภูมิธรรม นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดจากตัวตนเอง แต่เชื่อว่าเพื่อนสมาชิกน่าจะมีการหารือกันอยู่แล้ว ก็ไม่ทราบว่ามีใครที่หารือกันอยู่บ้าง แต่ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค เชื่อว่าการแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกพร้อมๆ กันทั่วทั้งประเทศ ในนามตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งเราเองไม่เห็นด้วย จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษไปถอนออก
เมื่อถามถึงข้อกังวลว่าพรรคภูมิใจไทย อาจจะลุแก่อำนาจ จากการที่พรรคประชาชนโหวตสนับสนุนนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ขอยืนยันในหลักการที่เราพูดมาโดยตลอด ว่าเราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการนิติสงคราม เพราะตอนนี้ประชาชน คือเมื่อใครขึ้นมามีอำนาจ แล้วใช้กระบวนการทุกอย่าง หรือใช้อำนาจที่ตัวเองจะได้รับ เล่นงานคู่ขัดแย้งหรือฝ่ายตรงข้าม หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าจะพรรคภูมิใจไทยหรือใครก็ตาม ที่พรรคประชาชนได้ยืนยันในมติไปแล้วว่าเราจะเลือกสนับสนุน เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ดังนั้น ในฐานะหัวหน้าพรรค ขอส่งสัญญาณว่าเราไม่เห็นด้วยกับการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายภูมิธรรมเมื่อวานนี้ รวมถึงบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร การดำเนินการต่อจากนี้ เราจะใช้เสียงในสภาที่เรามี กำกับทิศทางของประเทศให้เดินไปตามทางที่เราเห็นว่าถูกและควร โดยใช้รัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือกลไกฝ่ายค้านเสียงข้างมาก
เมื่อถามว่าจะถูกมองว่า จะกลายเป็นนั่งร้านให้กับพรรคภูมิใจไทย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นนั่งร้าน หรือไม่เป็นนั่งร้าน ก็อยู่ที่การแสดงออก และใช้เสียงในสภาของพวกเรา
เมื่อถามถึงการตั้งข้อสังเกตที่ในตอนแรกพรรคประชาชนจะควบคุมพระภูมิใจไทยด้วย MOA แต่เมื่อเกิดกระบวนการเช่นนี้ จะเป็นสัญญาณเริ่มว่าพรรคประชาชนจะคุมพรรคภูมิใจไทยไม่ได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวย้ำว่า การเซ็น MOA ในครั้งนี้ เราไม่ได้ร่วมรัฐบาล เพราะฉะนั้น เราไม่มีอำนาจใดๆ ไปสั่งห้ามไม่ให้เขาทำอะไรเป็นการล่วงหน้า ฉะนั้น การจัดตั้งรัฐบาล และการดำเนินการต่างๆ เป็นสิทธิ์ที่เขาจะทำ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเห็นว่ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง หรือไม่เป็นไปตามหลักการ เราก็พร้อมใช้เสียงในสภาที่เรามี
"การแถลงข่าวต่อสาธารณชนทางการครั้งแรกของผม ถือเป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการ เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทย และฝ่ายอื่นๆ ที่รวมเสียงอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ได้เห็นสัญญาณที่ผมส่งออกไปแล้ว"นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่มีผู้สนับสนุนพรรครู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในช่วงสั้นๆ นี้ ต้องยอมรับตามข้อเท็จจริงจากการประเมินกระแสต่างๆ ที่เราได้ยินมา ว่าอาจจะยังมีโหวตเตอร์ หรือผู้สนับสนุนของพรรค บางส่วนที่ยังรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งพวกเราก็เข้าใจดี เพราะตนเชื่อว่า ผู้บริหารพรรคเองได้รับฟังเสียงอย่างรอบด้านแล้ว เพราะก่อนจะออกมาเป็นมติของผู้บริหารพรรคที่ตนได้แถลงไป เราได้มีการฟังเสียงทุกองคาพยพของพรรคอย่างรอบด้านแล้ว
นายณัฐพงษ์ กล่าวยืนยันอีกหนึ่งครั้งว่า การตัดสินใจในครั้งนี้ ทุกองคาพยพของพรรคภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกพรรคประชาชน ผู้ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง เห็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น การดำเนินงานต่อจากนี้ ที่จะทำให้คะแนนความนิยมของพรรคเพิ่มมากขึ้น หรือทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเข้าใจว่า สิ่งที่เราจำเป็นต้องดำเนินการเช่นนี้ เป็นไปเพื่ออะไร ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่เราต้องดำเนินงานต่อ
นายณัฐพงษ์ เชื่อว่า หาก 4 เดือนต่อจากนี้ พรรคประชาชนสามารถกำกับทิศทาง ให้เดินไปตามข้อตกลงที่มีการเซ็นร่วมกันได้ ก็เชื่อว่า ทุกคนจะเข้าใจดี
เมื่อถามว่า ฉากทัศน์เช่นนี้กังวลหรือไม่ ว่าจะทำให้อำนาจนอกระบบที่กลัว ถูกแทรกแซงเข้ามาได้ง่ายขึ้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ เราประเมินอย่างรอบด้านแล้ว ก็คงไม่ได้กลัวอะไร เราพร้อมใช้เสียง สส.ที่เรามี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแบบนั้น
กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรคประชาชนถูกหลอกอย่างแนบเนียนที่สุด นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่แต่ละคนจะประเมินได้ ว่าถูกหลอกหรือไม่ถูกหลอกอย่างไร แต่เรามีการประเมินฉากทัศน์มาอย่างรอบด้านแล้ว เพราะข้อเสนอนี้ เป็นสิ่งที่เรานำเสนอไว้ตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว เพราะเราประเมินทุกสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด จึงคิดว่าทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อประเทศ ไม่ใช่ต่อพรรคประชาชน
ส่วนคิดถึงการเลือกตั้งรอบหน้าแล้วหรือยัง ว่าพรรคประชาชนอาจจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดไปถึงตรงนั้น ว่าจะจับกับใคร สิ่งสำคัญ ณ ตอนนี้ คือการเดินหน้าเพื่อนำไปสู่การยุบสภา พร้อมๆ กับการเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจากนั้น หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญคือการเสนอนโยบาย รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนเก้าอี้ สส.ในสภามากที่สุด หลังจากนั้น จึงจะสามารถบอกได้ว่าหน้าตารัฐบาลใหม่เป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า หากพรรคประชาชนไม่ได้เปลี่ยนเสียงข้างมาก จะสามารถรวมกับพรรคภูมิใจไทยได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่ตนสามารถบอกได้ ในนามหัวหน้าพรรคประชาชน คือ เราพร้อมลงสนามเลือกตั้ง และเป้าหมายของพรรคประชาชน คือการได้เสียงข้างมากในสภา
ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์เช่นนี้คือประชาธิปไตยที่ถูกแทรกแซงนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เราต้องรับฟังเสียงสะท้อน และพร้อมที่จะเข้าไปทำความเข้าอกเข้าใจอย่างรอบด้าน เราจะใช้อำนาจที่พวกเรามี ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ในการกำกับทิศทางประเทศให้เดินไปสู่ทางออก เพราะสิ่งที่เราเห็นจากโพลต่างๆ ก็พบว่า ประชาชนอาจเริ่มผิดหวัง หรือเริ่มขาดความศรัทธาต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และการเมืองในระบบรัฐสภา
เพราะฉะนั้น ตนเองไม่สามารถที่จะทิ้งความหวังตรงนี้ได้ เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องยืนยันว่า เราต้องใช้อำนาจในระบบ ตามกระบวนการระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า หากพรรคภูมิใจไทยผิดข้อตกลง แม้แต่ข้อเดียว พร้อมจะอภิปรายเลยใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ทันที รวมถึงอาจจะมีการดำเนินการอื่นใด ที่แม้ไม่มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรกับตามข้อตกลง แต่ตามวิญญูชนจะสามารถเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ก็เชื่อว่าพวกเราพร้อมยื่นอภิปราย ม.151 ทันที แม้จะไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ขอพูดเป็นหลักการกว้างๆ เช่น มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อล้างคดีให้กับกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้
นายณัฐพงษ์ กล่าวย้ำอีกว่า เราเป็นฝ่ายค้านมาโดยตลอดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวว่าจะต้องร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับใคร ส่วนจะทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ ตนก็อยากให้ทุกๆ พรรค ไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทยหรือใครก็ตาม ที่ทำหน้าที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็อยากให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีการโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังมีกลไก ม.151 อยู่ ตามข้อตกลงก็มีการระบุว่า พรรคภูมิใจไทยต้องคงสถานะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ย้ำว่า เรายังมีเสียง และกลไกในสภาอยู่