เชาว์ซัดแรง 20 สส.เพื่อไทย-วันนอร์ ยื่นคำร้องไม่สุจริต ส่อผิดจริยธรรม แนะ  รีบถอนคำร้องออกจากศาลโดยเร็ว

วันที่ 4 ก.ย.68 นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง 20 สส.เพื่อไทย-ประธานสภาฯ ยื่นคำร้องไม่สุจริต! มีเนื้อหาระบุว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวน 20 คน นำโดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของการวินิจฉัยคดีที่ 17/2568 ซึ่งมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันเดียวกัน ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนนายปัญญา อุดชาชน มีผลตั้งแต่ 30 สิงหาคม 2568 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีจริยธรรม น.ส.แพทองธาร เมื่อ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ต่อมา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ได้ส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นไปตามที่ 20 ส.ส.ยื่นมา

นายเชาว์ระบุด้วยว่า ประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามคือ บทบาทของประธานสภาฯ เอง ที่ไม่สามารถอ้างได้ว่ามีหน้าที่เพียงส่งคำร้องไปยังศาลเท่านั้น เพราะตามหลักการ ประธานสภาฯ มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของคำร้องก่อน หากเอกสารหลักฐานไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่ควรส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ คำถามสำคัญคือ การดำเนินการของ 20 ส.ส. และการส่งต่อของประธานสภาฯ เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ เนื่องจากเอกสารพระบรมราชโองการที่ถูกอ้างอิง ไม่ได้มีที่มาถูกต้องตามกฎหมาย เพราะพระบรมราชโองการ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกาทุกฉบับต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลบังคับ อีกทั้งตามมาตรา 16 พ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 กำหนดให้ตุลาการที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ขณะที่มาตรา 17 วรรคสอง กำหนดให้ตุลาการที่พ้นตำแหน่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคนใหม่จะเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ประกาศแต่งตั้งนายสราวุธเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568


ดังนั้น ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประธานสภาฯ ต่างมีหน้าที่และมาตรฐานความรับผิดชอบที่สูงกว่าบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะการยื่นหรือส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นสำคัญเช่นนี้ จำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนจากราชกิจจานุเบกษาเสียก่อน มิใช่รีบดำเนินการจนถูกมองว่าเป็นการสร้างกระแสกดดันศาล และสร้างความสับสนในสังคม

“การกระทำเช่นนี้จึงหมิ่นเหม่ต่อการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต และอาจเข้าข่ายพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคการเมืองของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่การถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ทั้งฝ่ายผู้ยื่นและผู้ส่งเรื่อง ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดี  ประธานสภาฯจึงควรรีบ ถอนคำร้องดังกล่าว ออกสารบบความของศาลโดยเร็ว ” นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย