สถานการณ์การเมืองเวลานี้ ยังไม่มีอะไรที่ “วางใจได้” เต็มร้อยเปอร์เซ็น แม้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง กันไปหมาดแล้วก็ตาม และถึงแม้จะมีหลายคนเรียก “เสี่ยหนู” เป็น “ว่าที่นายกฯ” ก็ตาม แต่ตราบใดที่ “อำนาจ” ยังไม่ได้อยู่ในมือ อย่างแท้จริง โอกาสสะดุด ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น
จากสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น กำลังบ่งชี้ว่าเส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กำลังเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายประการ ทั้งในแง่ของกฎหมายและกลไกทางการเมือง แม้ว่าในเชิง “คุณสมบัติส่วนตัว” ตามรัฐธรรมนูญจะไม่มีปัญหา แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ตำแหน่งนายกฯ ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องลุ้น !!
ในประเด็นด้าน คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นั้น ถือว่า อนุทิน ไม่มีข้อขัดข้องแต่อย่างใด คุณสมบัติพื้นฐาน เช่น สัญชาติ อายุ หรือประวัติทางอาญา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณสมบัติส่วนบุคคล แต่อยู่ที่กลไกและขั้นตอนทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งมีประเด็นทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง
โดยเฉพาะกรณีว่าด้วยการ “ยุบสภาฯ” ที่ “พรรคเพื่อไทย” ส่ง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการนายกรัฐมนตรี ทูลเกล้าฯยุบสภา ไปเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้เกิดสภาพการณ์ที่กลายเป็น สถานการณ์ที่ “คู่ขนาน”
ระหว่าง การตั้งรัฐบาลใหม่ และการโหวต “นายกฯคนใหม่” ในสภาฯ จะดำเนินการได้หรือไม่ แม้ “แกนนำพรรคภูมิใจไทย” จะยื่นหนังสือถึง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ ขอให้เร่งบรรจุวาระการเลือกนายกฯคนใหม่ ทันที ที่อนุทิน แถลงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียงจบลงไปไม่กี่นาที
ประเด็นการยุบสภา นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่อาจยุติเส้นทางสู่ตำแหน่งนายกฯ ของอนุทินได้ในทันที หากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยุบสภาตามที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องไว้ จะส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ต้องสิ้นสุดลง และนำไปสู่การเลือกตั้งทั่ว ตามมาแทน ดังนั้นในเงื่อนปมเรื่องนี้จึงเป็นตัวแปรหลักที่มีน้ำหนักมากที่สุด
และหากรัฐบาล สามารถได้สำเร็จ อนุทินจะเผชิญกับปัญหาการบริหารงานในฐานะ รัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายอย่างยิ่งในระบอบรัฐสภา แม้จะสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้ แต่การผลักดันนโยบายหรือร่างกฎหมายสำคัญต่าง ๆ จะเป็นไปได้ยากและอาจถูกขัดขวางจากฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างมาก ทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ และมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางการเมืองและเงื่อนไขที่ต้องจับตา นอกจากประเด็นทางกฎหมายแล้ว ปัจจัยทางการเมืองก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเส้นทางของอนุทิน
แม้จะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชนจนทำให้มีเสียง สส. เพิ่มขึ้น แต่การสนับสนุนนี้ก็มาพร้อมกับ เงื่อนไข 5 ข้อ ที่อนุทินต้องยอมรับ โดยเฉพาะข้อตกลงเรื่องการยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ข้อตกลงนี้เป็นเสมือนดาบสองคมที่อาจสร้างแรงต้านจากกลุ่มการเมืองอื่นและอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในอนาคต
ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปรับฟังกระแสภายนอก ใช่ว่า “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” จะไร้แรงต้านจากสังคม !
การที่พรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้านหันมาสนับสนุนอนุทิน ได้สร้างกระแสความไม่พอใจในกลุ่มผู้สนับสนุนบางส่วน ซึ่งมองว่าเป็นการ "ทรยศ" ต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เคยประกาศไว้
แรงต้านจากมวลชนนี้อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลอนุทิน และโดยเฉพาะ “พรรคส้ม” ในระยะยาวเช่นกัน เพียงแต่น้ำหนักที่กระทบอาจมากน้อยต่างกัน !