วันที่ 3 กันยายน 2568 นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมปศุสัตว์ฮาลาลไทย กำลังสร้างชื่อเสียงในตลาดโลก ซึ่งในปี 2567 ไทยสามารถส่งออกสินค้าปศุสัตว์ฮาลาล มีมูลค่าสูงถึง กว่า 15,771 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 14 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า สินค้าปศุสัตว์ฮาลาลไทยกำลังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง และช่วยผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาหารฮาลาลรายสำคัญของโลก

ทั้งนี้สินค้าปศุสัตว์ฮาลาลของไทยมีหลากหลาย แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ เนื้อสัตว์ปีก โดยเฉพาะไก่แปรรูป ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกกว่า หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท นับเป็นสินค้าที่แข็งแรงที่สุดของเราในตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์นม ไข่ รังนก น้ำผึ้ง และอาหารที่มีผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เป็นวัตถุดิบ ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคในประเทศมุสลิมจำนวนมาก

สำหรับประเทศคู่ค้าอิสลามที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ คูเวต กาตาร์ โอมาน บาห์เรน และบรูไน สะท้อนให้เห็นว่า สินค้าฮาลาลไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่สามารถเจาะเข้าสู่หลายภูมิภาค ตั้งแต่ อาเซียน ตะวันออกกลาง ไปจนถึงแอฟริกา

นายสัตวแพทย์สมชวน กล่าวว่า เบื้องหลังความสำเร็จนี้ เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง กรมปศุสัตว์ และ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลมาตรฐานฮาลาลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม การขนส่ง การเชือด การแปรรูป จนถึงการบรรจุภัณฑ์ และการขนส่งออกนอกประเทศ ทุกกระบวนการต้องสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด พร้อมไปกับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอาหาร สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคมุสลิมทั่วโลกเชื่อมั่นว่า อาหารจากประเทศไทย ไม่เพียงแต่สะอาดและปลอดภัย แต่ยังเป็นฮาลาลแท้จริง

นอกจากการรักษามาตรฐานแล้ว ไทยยังเดินหน้าเชิงรุกด้วยการสร้างพันธมิตรระดับนานาชาติ ล่าสุดในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 คณะฝั่งไทยนำโดย กรมปศุสัตว์ และพันธมิตรได้แก่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย และศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้เข้าร่วมประชุมคณะทำงานอาหารฮาลาลอาเซียน เพื่อจัดทำมาตรฐานอาหารฮาลาลอาเซียน ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างกลไกการยอมรับการรับรองมาตรฐานฮาลาลระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ภายในปี 2030

วันเดียวกันนี้ นายอรรถกร ศิริลัทยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ณ ห้องประชุมพระพิรุณ กรมปศุสัตว์ กรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดช่องทางการจำหน่ายเนื้อโคคุณภาพที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองตามมาตรฐานของกรมปศุสัตว์ ส่งตรงถึงผู้บริโภค ถือเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับรายได้เกษตรกรไทย และสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยอาหารของประเทศ

“กรมปศุสัตว์ยังมีแผนพัฒนาที่ชัดเจนใน 5 ด้าน ภายใต้โครงการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล
ด้านปศุสัตว์ ประกอบด้วย การตรวจสอบเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ฮาลาลทางห้องปฏิบัติการ การยกระดับสถานประกอบการสู่มาตรฐานฮาลาล การพัฒนาศักยภาพของผู้ตรวจประเมินฮาลาล การขยายความร่วมมือกับต่างประเทศ และการสื่อสารสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคในตลาดโลก”

นายสัตวแพทย์สมชวน กล่าวว่า ต้องย้ำตลาดอาหารฮาลาลทั่วโลกมีมูลค่าสูงมหาศาล ปัจจุบันมีประชากรมุสลิมกว่า สองพันล้านคน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของโลก ทำให้ความต้องการอาหารฮาลาลเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยคาดว่าในปี 2573 มูลค่าตลาดอาหารฮาลาลทั่วโลกอาจแตะถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะเข้าไปเป็นผู้เล่นสำคัญ

“นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยสำคัญ คือ ผู้บริโภคในตลาดโลกไม่ใช่เฉพาะชาวมุสลิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ที่เชื่อมั่นในความสะอาดและมาตรฐานการผลิตของอาหารฮาลาล จึงทำให้ตลาดนี้ขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อย ๆ”

นายสัตวแพทย์สมชวน กล่าวต่อว่า เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสินค้าไทย ในปี 2568 กรมปศุสัตว์ได้เข้าร่วมงานสำคัญหลายเวที เช่น งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย และงาน World HAPEX 2025 ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับผู้ซื้อทั่วโลก

“สินค้าฮาลาลไทยมีจุดแข็งทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และความเป็นฮาลาลแท้จริง ภายใต้การรับรองที่เข้มงวด เป้าหมายต่อไปคือการผลักดันไทยให้เป็น ศูนย์กลางอาหารฮาลาลระดับโลก ในอนาคต”