เมื่อเวลา 12.05 น.วันที่ 3 ก.ย. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ว่า ประเด็นด้านการต่างประเทศเรื่องแรกการดำเนินการเชิงรุกของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งระหว่างวันที่ 26-28 ส.ค.ที่ผ่านมา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว. ต่างประเทศ เดินทางไปนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา

โดยเฉพาะกรณีการวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทยไปชี้แจงกับกลุ่มบุคคลต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา การเยือนครั้งนี้นอกจากได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ไทยยังยืนยันความมุ่งที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา และเป็นโอกาสให้เขาได้สอบถามเพื่อปรับความเข้าใจเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้อง 

นางมาระตี กล่าวว่า นอกจากนี้ รมว.ต่างประเทศ ยังได้ประกาศว่าไทยจะเข้าร่วมในโครงการรณรงค์ระดับโลกของเลขาธิการสหประชาชาติเรื่องการลดอาวุธ เพื่อมนุษยธรรมและดำเนินการด้านทุ่นระเบิด  และในเวลาเดียวกันเอกอัคราชทูตผู้แทนถาวรไทย ณ นครนิวหยอก ได้เข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติอีกครั้ง เพื่อนำส่งข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์เพิ่มเติมอีกครั้ง ต่อกรณีการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่มีทหารไทยบาดเจ็บถึง 6 ครั้ง และยังติดตามการขอรับคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาต่อกรณีดังกล่าว ผ่านเลขาธิการสหประชาชาติด้วย

ทั้งนี้เพื่อนำกัมพูชากลับเข้าสู่การปฏิบัติตามพันธกรณีโดยสมบูรณ์และยุติการใช้ทุ่นระเบิดโดยทันที ไทยต้องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับกัมพูชาภายใต้กลไกทวิภาคีและตามข้อตกลงหยุดยิง เพื่อคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ 

นางมาระตี กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารตามที่ปรากฎรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ขแมร์ ไทม์ส อ้างกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ว่าเป็นผลจากอาวุธที่ตกค้างของฝ่ายไทยจากการปะทะกันบริเวณชายแดนในช่วงที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และการกระทำในพื้นที่สวนทางกับข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงมาโดยตลอด ทั้งด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การใช้โดรน การปลุกระดมประชาชน

และล่าสุดยังพบการใช้ระเบิดแสวงเครื่องในฝั่งไทย และเร็วๆนี้มีรายงานจากนิตยสาร JANES  ซึ่งเป็นนิตยสารด้านความมั่นคง นำเสนอว่าจากหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียมพบการก่อตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารในฝั่งกัมพูชาบริเวณชายแดนเป็นหลายเดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีไทยที่ชี้แจงมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาริเริ่มการโจมตีในครั้งนี้ 

“ไทยห่วงกังวลต่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายกัมพูชาที่ทำอย่างเป็นระบบ ซึ่งสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ  (OHCHR) ได้หยิบยกขึ้นหารือกับรมว.การต่างประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย โดย OHCHR มองเป็นปัญหาระดับโลกเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจระหว่างกัน และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหาทางออกโดยสันติ

ไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ในลักษณะนี้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและสันติภาพในภูมิภาค สุดท้ายนี้ไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์  ทั้งนี้ไทยยังยืนยันท่าทีการแสวงหาทางออกร่วมกันกับกัมพูชาอย่างสันติ เพื่อให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลาย” นางมาระตี กล่าว