อุณหภูมิการเมืองไทยวันที่ 3 กันยายน 2568 ทวีความร้อนระอุ เมื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัยในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยว่าได้ยื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกายุบสภา หลังพรรคประชาชนประกาศสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32

การเดินเกมของนายภูมิธรรมถูกตีความว่าเป็นการสกัดเส้นทางของอนุทินโดยตรง พร้อมเปิดศึกการเมืองครั้งใหม่ที่เดิมพันสูงสุด

คำถามใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในสังคมคือ “รักษาการนายกรัฐมนตรีมีสิทธิยุบสภาหรือไม่?”

ประเด็นนี้ยังไม่มีคำตอบชัดเจน ฝ่ายที่เห็นว่ามีสิทธิ เช่น ศ.ดร.บุญศรี มีสมสืบ อาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่าการปฏิบัติหน้าที่รักษาการเทียบเท่านายกรัฐมนตรีตัวจริง เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้ หากไม่ให้อำนาจใครเลย ประเทศอาจเข้าสู่ภาวะชะงักงันทางการเมือง ขณะที่ฝ่ายที่เห็นว่าไม่มีสิทธิอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันว่าการยุบสภาเป็นอำนาจใหญ่ที่กระทบสิทธิของประชาชน จึงควรสงวนไว้สำหรับนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น

และเนื่องด้วยการตีความที่แตกต่างนี้ สุดท้ายทำให้การประกาศยุบสภาของนายภูมิธรรมต้องอาศัยทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และพระบรมราชวินิจฉัยเป็นผู้ชี้ขาด

แม้นายภูมิธรรมจะให้เหตุผลว่าการเมืองไทยกำลังบิดเบี้ยว พรรคภูมิใจไทยพยายามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ขณะที่พรรคประชาชนก็มีท่าทีสองหน้าสนับสนุนนายอนุทินแต่ไม่ร่วมรัฐบาล จึงควรคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งใหม่

ทว่า ภายใต้เหตุผลดังกล่าวของนายภูมิธรรม กลับนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

โดยนายสมชาย แสวงการ อดีต ส.ว. โต้ทันทีว่านายภูมิธรรมไร้อำนาจยุบสภา และเสนอให้ส.ส.ยื่นศาลปกครองฯ ขอคุ้มครองชั่วคราว เพื่อส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มองว่าเป็นการ “บ้าอำนาจ” และเตือนแรงด้วยคำพูด “ระวังศพไม่สวย” ส่วนนายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ระบุชัดว่าการยุบสภาคือพระราชอำนาจ นายกฯ รักษาการไม่มีสิทธิ หากยื่นโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ถือเป็นการล่วงละเมิด และอาจต้องลาออก

หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีสิทธิยุบสภา การยื่นทูลเกล้าฯของนายภูมิธรรมจะกลายเป็นการละเมิดกฎหมายและพระราชอำนาจทันที ผลลัพธ์จะย้อนกลับไปทำลายความชอบธรรมของพรรคเพื่อไทย และอาจเร่งเวลา “เกมโอเวอร์” ให้มาถึงเร็วกว่าที่คิด การยุบสภาอาจไม่ใช่การคืนอำนาจ แต่กลับกลายเป็นการยุบตัวเองโดยไม่ตั้งใจ

ทั้งหมดนี้ทำให้การเมืองไทยกำลังอยู่บนเส้นด้ายที่เปราะบาง การยุบสภาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่คือหมากการเมืองที่เดิมพันด้วยอนาคตของทั้งพรรคเพื่อไทยและเสถียรภาพของประเทศ หากสำเร็จเพื่อไทยมีโอกาสได้รีเซ็ตเกมใหม่ แต่ถ้าล้มเหลวอาจกลายเป็นจุดจบทางการเมืองที่ไม่มีทางถอย

                                                

#ยุบสภา #เพื่อไทย #อนุทิน #ภูมิธรรม #ศาลรัฐธรรมนูญ #การเมืองไทย #ข่าวการเมืองล่าสุด