“ธีรรัตน์” กำชับ ปภ. – จังหวัด รับมือผลกระทบพายุ “คาจิกิ” และ “หนองฟ้า” 5 ด้าน พร้อมเร่งช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนโดยเร็ว
เมื่อเวลา 08.00 น.วันนี้ (2 ก.ย. 68) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” และพายุ “หนองฟ้า” ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีนายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยผู้บริหารกรม ปภ. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม ที่ปรึกษา รมช.มท. ผู้แทนกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้า ปภ. จังหวัด 62 จังหวัด ร่วมประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดย ปภ. ติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่อย่างใกล้ชิด ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและความเดือดร้อนแก่ประชาชน การประชุมครั้งนี้จึงจัดขึ้นเพื่อประเมินสถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่ม ตลอดจนการสนับสนุนการช่วยเหลือในพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ หากจังหวัดใดต้องการความช่วยเหลือให้รีบแจ้งมายังส่วนกลางโดยด่วน และหากพบพื้นที่เสี่ยงสูงที่ต้องประกาศเตือนภัยระดับสูงสุด ให้ประสานมายัง ปภ. เพื่อสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยแก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที
รมช.มหาดไทยได้กำชับแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ 5 ด้าน ได้แก่
1. “ติดตามสถานการณ์” โดยให้ทุกจังหวัด ยังคงเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง และหากมีเหตุบ่งชี้ว่าพื้นที่ใดอาจเกิดอุทกภัยให้รีบแจ้งอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเตรียมรับสถานการณ์ล่วงหน้า
2. “เตรียมความพร้อมรับเหตุฉุกเฉินในพื้นที่” โดยให้ทุกจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ในพื้นที่เสียงภัย เตรียมความพร้อมเพื่อรับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละระดับ ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน การเตรียมชุดปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ พร้อมออกปฏิบัติงานได้ทันทีที่ได้รับแจ้ง
3. “การปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย” โดยทุกพื้นที่ต้องให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่เป็นอันดับแรก หากมีผู้ประสบภัยติดค้างอยู่ในพื้นที่ประสบภัย และหากประเมินจะเป็นอันตรายให้อพยพนำผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ประสบภัยโดยเร็ว กรณีมีเหตุดินโคลนถล่มให้เร่งเข้าค้นหาผู้ประสบภัยให้เร็วที่สุด สำหรับพื้นที่ที่มีเหตุกำแพง พนังกันน้ำ กระสอบทรายกั้นน้ำชำรุดเสียหายทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ ให้จัดทีมเข้าซ่อมแซมโดยทันที และสำหรับพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ให้ประสานขอรับการสนับสนับสนุนเครื่องสูบน้ำจากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่และศูนย์ ปภ.เขต เร่งรัดการสูบระบายน้ำ
4. “เร่งรัดจ่ายเงินช่วยเหลือหรือให้ความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง” ขอให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งรัด ลดขั้นตอน และระยะเวลาในการพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลัง หรือระเบียบกระทรวงมหาดไทยสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะในด้านการดำรงชีพ โดยไม่ต้องรอให้สิ้นสุด เพื่อให้ประชาชนผู้ประสบภัยมีความเชื่อมั่นในการดูแลของหน่วยงานภาครัฐ
5. “การเร่งฟื้นฟูบูรณะในพื้นที่ที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ” ให้จังหวัด อำเภอและองค์กรปกรองส่วนท้องถิ่นจัดทีมเข้าฟื้นฟบูรณะสภาพพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การเก็บทำความสะอาดพื้นที่ การซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็ว
สำหรับผลกระทบจากอิทธิพลพายุ “คาจิกิ” ทำให้เกิดอุทกภัยและดินถล่มใน 14 จังหวัด 40 อำเภอ 114 ตำบล 377 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 9,531 ครัวเรือน ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย และพิษณุโลก มีผู้เสียชีวิต 10 ราย (เชียงใหม่ 8 รายจากดินถล่ม แม่ฮ่องสอน 2 รายจากจมน้ำ) มีผู้บาดเจ็บ 15 ราย และพืชผลทางการเกษตรเสียหาย 649,960 ไร่
ผลกระทบอิทธิพลพายุ “หนองฟ้า” เกิดสถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ 12 จังหวัด 37 อำเภอ 114 ตำบล 349 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 192 ครัวเรือน แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ยังมีสถานการณ์ใน 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ ลำพูน ตาก ขอนแก่น เลย หนองบัวลำภู และชุมพร ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหายด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยและดินถล่มในทุกมิติ ทั้งการติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานด้านพยากรณ์ การจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด การแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง ตลอดจนการสนับสนุนทรัพยากร เช่น เครื่องจักรกลสาธารณภัย และเต็นท์สนามเพื่อรองรับผู้ประสบภัยชั่วคราว