ต่างชาติชี้ไทยเสี่ยงเผชิญความวุ่นวายทางการเมือง-เศรษฐกิจ หลัง “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกปลดนายกรัฐมนตรี ขณะที่ “มูดี้ส์” อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในไตรมาสถัดไป
นักวิเคราะห์ ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้น และอาจนำไปสู่ “การรัฐประหาร” หลังจากศาลมีคำสั่งปลด "นางสาว แพทองธาร ชินวัตร" ออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันศุกร์ (29 ส.ค.68) ที่ผ่านมา
การปลดดังกล่าวเกิดจากการละเมิดจริยธรรม หลังถูกพักงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เนื่องจากมีการรั่วไหลของเสียงการสนทนาผ่านโทรศัพท์ระหว่างเธอกับ "ฮุน เซน" อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเผยให้เห็นการวิจารณ์ผู้บัญชาการทหารไทย และการพยายามเอาใจผู้นำกัมพูชา ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนที่ปะทุขึ้นก่อนจะหยุดยิงได้ในภายหลัง
"โจชัว เคอร์แลนท์ซิค" นักวิจัยอาวุโสด้านเอเชีย สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ระบุว่า “สถานการณ์ไทยมีแนวโน้มวุ่นวายในระยะสั้น” โดยมองว่า หากพรรคเพื่อไทย ยังคงเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อย อาจเผชิญปัญหาเสถียรภาพภายใน เนื่องจากผู้นำคนใหม่อย่าง "ชัยเกษม นิติสิริ" มีความเปราะบางทางการเมือง
ด้าน "พรรคภูมิใจไทย" ซึ่งถอนตัวจากรัฐบาลผสมของแพทองธารเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เตรียมตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" มีโอกาสน้อยที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากจำนวน ส.ส. น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยกว่า 70 ที่นั่ง
เคอร์แลนท์ซิค ยังเตือนว่า หากรัฐสภาล่มสลาย อาจเกิด “การเลือกตั้งกะทันหัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทัพไม่ต้องการ เพราะเสี่ยงเปิดทางให้ "พรรคประชาชน" ที่มีจุดยืน "ปฏิรูปกองทัพ" และ "สถาบัน" คว้าชัยชนะเสียงข้างมาก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ชนชั้นนำไทยมองว่าเป็นภัยต่ออำนาจเดิม
ประเทศไทยเคยประสบรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้งใหญ่ในปี 2549 และ 2557 โดยทั้งสองครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับการโค่นล้มรัฐบาลในตระกูลชินวัตร ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า “โอกาสรัฐประหารรอบใหม่มีสูงมาก”
ในด้าน "เศรษฐกิจ" ความไม่มั่นคงทางการเมืองกำลังฉุด "ความเชื่อมั่น" นักลงทุนต่างชาติชี้ว่าไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ผลงานย่ำแย่ที่สุดในเอเชีย โดยดัชนีหุ้นไทยปีนี้ร่วงกว่า 11.7%
ขณะเดียวกัน "มูดี้ส์" ได้ปรับแนวโน้มเครดิตไทยเป็น “เชิงลบ” ตั้งแต่เมษายน และอาจปรับลดอันดับจาก Baa1 ลงอีก หากความไม่แน่นอนยังคงยืดเยื้อ
"ธนาคารโลก" และนักวิเคราะห์ของ "โนมูระ" ต่างคาดการณ์ว่า GDP ไทยปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.8% ลดลงจากที่คาดไว้เดิมเกือบ 3% สะท้อนถึงแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและการเมืองภายในประเทศ