วันที่ 2 ก.ย.68 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า...
อ.บวรศักดิ์เขียนว่า
[หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั่วไป .. รัฐบาลรักษาการจะทำได้เฉพาะงานประจำ (affaires courantes) จะทำงานนโยบายมิได้ ..
ดังนั้น ถ้าดูตามประเพณีการปกครองที่ถือกันมาอย่างน้อยเกือบสามสิบปี การกราบบังคมทูลให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งเป็นนโยบายที่มีผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้สภาผู้แทนราษฎรพ้นตำแหน่งทั้งสภา จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง]
ผมเห็นว่า การยุบสภาในสถานการณ์นี้ เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของงานประจำอย่างชัดแจ้ง
ดังตัวอย่างที่ อ.บวรศักดิ์อ้างถึงต่อไปนี้
[ในเรื่องนี้ของฝรั่งเศส สภาแห่งรัฐConseil d’Etat เคยมีคำพิพากษาที่ประชุมใหญ่ ในคดี Syndicat regional des quotidian d’Algerie ลงวันที่ 4 เมษายน 1952
วินิจฉัยว่า “รัฐบาลที่ลาออกไปและรักษาการ มีอำนาจเฉพาะทำงานประจำที่ไม่ใช่นโยบาย ตามหลักกฎหมายมหาชนตามประเพณี (principe traditional de droit public)”
ดังนั้น การออกรัฐกฤษฎีกา (decret) ทีเป็นนโยบายจึงปราศจากอำนาจ พิพากษาให้เพิกถอนรัฐกฤษฎีกานั้น
รัฐบาลรักษาการทำได้เฉพาะงานประจำเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของบริการสาธารณะเท่านั้น ตามหลักความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ (principe de continuity de service public) เท่านั้น]
อ.บวรศักดิ์เขียนอีกว่า
[ด่านที่สองคือ หากรัฐบาลรักษาการถวายคำแนะนำโดยนายกรัฐมนตรีรักษาการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรทูลเกล้าฯถวายขึ้นไป
พระมหากษัตริย์ก็ทรงมีพระราชอำนาจปฎิเสธการยุบสภา (the royal prerogative of refusal) เหมือนที่พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงมี]
ผมเห็นว่า กรณีที่รัฐบาลรักษาการณ์จะถวายคำแนะนำเช่นนั้น อาจจะถูกมองได้ว่า เป็นการตีกรอบทำให้พระมหากษัตริย์ต้องเลือก ทั้งที่เป็นขั้นตอนที่ผิดประเพณี
การทำเช่นนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ประชาคมโลกจะเข้าใจผิดไปได้หลายทาง จึงต้องใคร่ครวญให้ดี
วันที่ 1 กันยายน 2568
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง