การเลือก “นายกฯคนใหม่” อาจไม่ได้ง่ายดาย ด้วยการใช้เพียง “คณิตศาสตร์การเมือง” แล้วเท่านั้น เมื่อในความจริงที่ ทุกฝ่าย ทุกสีที่อยู่ในสมการแห่งความวุ่นวาย และการช่วงชิงอำนาจเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น แดง, น้ำเงิน หรือแม้แต่ ส้ม

ย่อมรู้ดีกว่า ไม่ว่า “คำตอบ” จะออกมาอย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างต้องยอมรับ “ความเสียหาย” ที่จะเกิดขึ้นตามมา อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เพียงแต่ผลกระทบอาจต่างกัน

การตัดสินใจของ “พรรคประชาชน” ซึ่งวันนี้อยู่ในสถานะ “ตัวแปร” สำคัญว่าจะโหวต สนับสนุนใคร ระหว่าง “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย  กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” จากพรรคภูมิใจไทย เพราะการโหวตนายกฯคนใหม่ รอบนี้ ผู้ที่จะได้เป็นนายกฯคนที่ 32 จะต้องได้คะแนนเสียง 247 เสียงคือเสียงเกินกึ่งหนึ่งจาก สส.ทั้งหมด 492 เสียง

ด้วยเหตุนี้ 143 สส.ของพรรคประชาชน จึงมีความหมายและกลายเป็นจุด “ชี้ขาด”  ด้วยสูตรคณิตศาสตร์การเมือง เช่นนี้

แต่เหนืออื่นใด การตัดสินใจของพรรคประชาชนเอง แม้จะอยู่สถานการณ์ที่ “เป็นต่อ” เพราะถือ “แต้ม” ทั้ง จำนวนสส.และ “ภาพลักษณ์” ของพรรคการเมืองที่ยังชูจุดยืน พร้อม “ผ่าทางตัน” ให้กับประเทศ

ขณะที่ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เปิดหน้า “ชิงเก้าอี้นายกฯ” กันอุตลุต ยังประเมินด้วยว่า เลือกหนุน “ชัยเกษม” หรือ “อนุทิน”ไปแล้ว “ผลลัพธ์” ทางการเมืองที่จะตามมา เมื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง นั้น “ได้คุ้มเสีย” หรือไม่ ?

เพราะเงื่อนไขที่พรรคประชาชน คาดหวังโดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดูจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากเย็น อย่าลืมว่า2ปีที่ผ่านมา วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แทบไม่ได้เข้าใกล้ “ความจริง” ด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่ “อำนาจสว.” ที่ต้อง “ปิดสวิตช์” กันไป จึงหมดสิทธิ์ โหวตเลือกนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา รอบนี้ สำหรับ “นายกฯคนที่ 32”  มาจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่เขียนวางกรอบเอาไว้ ด้วยการกำหนด “เงื่อนเวลา” เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจโหวตใครเป็นนายกฯคนใหม่ ยังต้องประเมินกันในช็อตต่อไปด้วยว่า ทั้งอนุทินและชัยเกษม นั้นต่างมี “ปัญหาเฉพาะตัว” ด้วยหรือไม่

เมื่อปัญหาของอนุทิน ยังถูกเชื่อมโยงมาจากปัญหาของพรรคภูมิใจไทยและ “บิ๊กเนม” ในพรรคบางส่วน ทั้งคดีที่ดินเขากระโดง คดีฮั้วเลือกสว. ล่าสุด “กลุ่มสว.สำรอง” ได้ไปที่พรรคประชาชน ก่อนเวลาที่ “กรรมการบริหารพรรค” จะประชุมพิจารณาว่าจะเทคะแนนเสียงให้ฝั่งไหน

“อุทัย อัตถาพร” และ “ธนวัฒน์ ศรีสุข” สว.สำรอง เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอแนะการตัดสินใจทางการเมืองของพรรคประชาชนที่มีผลต่อประชาธิปไตยและประเทศชาติ  เพราะหากเลือกพรรคภูมิใจไทย มาบริหารประเทศ จะส่งผลต่อการดำเนินคดีฮั้ว สว.และทำให้สภาสูงตก อยู่ภายใต้พรรคการเมืองหนึ่ง และครอบงำการตัดสินใจของ สว.ต่อการเลือกองค์กรอิสระ 

และโดยเฉพาะ คดีฮั้ว ที่เวลานี้ สำนวนคดีเกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาของ กกต.และเตรียมส่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง 

ขณะที่ชื่อชัยเกษม เอง แม้จะมีความกังวลจากสังคม เรื่องที่เคยเสนอแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ปมมาตรา 112  เป็นเหมือนของแสลง ทั้งสำหรับพรรคประชาชนเองและพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ต้องการหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เจ้าของพรรคเพิ่งพ้นจากคดีมาตรา 112  มาหมาดๆ

การตัดสินใจของพรรคประชาชน ไม่ว่าจะออกทางไหน จึงไม่สามารถคิดคำนวณด้วย “ตัวเลขสส.” ได้เท่านั้น เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจ เอง เมื่อ “โจทย์ใหญ่” ทางการเมืองกำลัง “ซ้อน” เข้ามา

นั่นคือ “ดาบ” ในมือ พรรคเพื่อไทยจะถูกหยิบมาใช้ ด้วยการ “ยุบสภา” เพื่อ “ล้มกระดาน” หรือไม่ หาก “อำนาจ” หลุดมือ ไปถึงพรรคภูมิใจไทยขึ้นมาจริง ! 

ส่วนเมื่อถึงเวลานั้น หากใครต้องการร้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้ “วินิจฉัย” ค่อยไปว่ากันอีกที !

สัญญาณการตัดสินใจใช้ "ดาบ" ในมือจากพรรคเพื่อไทย จะเกิดขึ้นเมื่อใด ต้องรอเงี่ยหูฟัง  เพราะล่าสุด ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ มือทำงานใกล้ชิด "ทักษิณ" บอกแล้วว่าเรื่องการยุบสภาฯ นั้นมี "กระบวนการ" ตามรัฐธรรมนูญ อยู่แล้ว นั่นหมายความว่า การยุบสภาฯ นั้นอยู่ในแพลนอยู่แล้ว