วันที่ 1 ก.ย.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2569 จำนวนเงิน 3.78 ล้านล้านบาทต่อมาเวลา 11.00 น. การประชุมวุฒิสภา พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ได้เปิดให้สมาชิกอภิปราย

โดยนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. อภิปรายว่า ตนได้เห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.งบ69 ทั้งหมด แต่ร่างพ.ร.บ.ฯฉบับนี้ก็เป็นการกระตุ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ รวมไปถึงการใช้จ่ายภาครัฐขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆ แต่ตนขอพาดพิงไปถึงงบปี 68 เพราะนโยบายที่นายกฯได้แถลงไว้ ไม่ได้ทำแต่ไปทำในเรื่องที่ไม่ได้แถลง จนต้องเรียกว่า นโยบายพ่อคิด แต่ลูกไม่ทำ ลูกเน้นไปทำโครงการซอฟต์เพาวเวอร์ ใช้งบเป็นพันๆล้านบาท เป็นนโยบายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และรัฐบาลทำอะไรไม่มีแบบแผนคิดอะไรไม่รอบครอบ สุกเอาเผากิน มั่วไปเรื่อยๆ

อย่างโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ตนขอเรียกว่าเป็นโครงการแจกเงินแห่งความฝัน หลอกลวงให้ประชาชนลงทะเบียน สุดท้ายไม่แจก จบลงด้วยการแจกเงินสด จากที่กล่าวว่าพายุหมุนเศรษฐกิจ 4 รอบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนนี้เหลือเพียงลมผายเบาๆ ถือว่าเป็นโครงการที่ล้มเหลวสุดๆ ยังไม่รวมนโยบาย 20 บาทตลอดสาย 

นายพิสิษฐ์ กล่าวต่อว่าจากโครงการดังกล่าว ทำให้รัฐสภาเดือดร้อน เพราะมีคนไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่า รัฐบาลได้โยกย้ายงบปี 68 เป็นเหตุให้ คณะรัฐมนตรี(ครม.)และรัฐสภา ถูกร้องเรียน ซึ่งมีโอกาสที่จะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ จึงขอฝากไปถึงผู้ที่รับเรื่องร้องเรียนว่าขอให้ดูผลประโยขน์ทางอ้อมด้วยว่าเกี่ยวกับรัฐสภาตรงไหน หากเกี่ยวกับนโยบายหาเสียงก็อีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตามถือว่าโชคดีที่วันศุกร์แห่งชาติที่ผ่านมา(29 ส.ค.) รัฐบาลที่สนใจแต่เสียงคะแนนนิยมและเสถียรภาพของตัวเองก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯพ้นตำแหน่งไปแล้ว ส่วนตนก็คงไม่หวังอะไรมากจากรัฐบาลชุดใหม่ หวังแค่เพียงให้ประชาชนมีกินมีใช้ก็พอ แต่ไม่ต้องไปขายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติ แล้วถือเอาประโยน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของชาติ 

นายพิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่างบฯที่ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดของรัฐบาล ตนจึงขอตั้งชื่องบปี 69 ว่างบประมาณ "คนขอไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ขอ" เพราะรัฐบาลถูกเปลี่ยน ซึ่งในภาพรวมงบปี69 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นงบประจำ70 % งบลงทุนอีก 23% แต่ข้อดีคืองบรายจ่ายประจำลดลง แม้เพียงแค่ 1% แต่เป็นสัญญาณบวก

ตนก็หวังว่างบปีถัดไปจะทำแบบนี้ แต่ถ้าเทียบกับปี 68 จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นประมาณ 2.79 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขที่ขยายตัวต่ำประมาณ  0.7% ถ้าเทียบกับรอบหลายปี และเป็นตัวเลขที่บอกถึงภาระการคลังที่ตึงตัว ดังนั้นรัฐต้องควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆเพื่อรักษาสมดุลทางการเงิน สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา จึงขอฝากคำถามไปถึงรัฐบาลว่ามีแนวทางอย่างไรในอนาคตเพื่อรักษาสมดุลทางการเงิน การคลังที่ตึงตัว

นายพิสิษฐ์ กล่าวว่า งบการลงทุน อยู่ที่ 8.64 แสนล้านบาท ถ้าเทียบกับปี 68 ลดลงประมาณ 7.3% แต่งบลงทุนอาจไปกรพทบถึงการเติบโตระยะยาวโดยเฉพาะโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โครงการพื้นฐานดิจิทัลและพลังงานที่ประเทศไทยกำลังทำอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต จึงอยากทราบว่ารัฐบาลมีเหตุปัจจัยอะไรถึงต้องลดงบลงทุนลง เพราะทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และรายจ่ายชำระคืนเงินกู้ 1.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 68 ประมาณ 0.7 % และเป็นงบที่ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อเศรษฐกิจแล้ว เพราะเป็น เพียงแต่การโอนเงินเท่านั้น แล้วรัฐบาลทำไมต้องเพิ่มงบส่วนนี้

ส่วนงบกลาง ก็ลดลงมาจากปี 68 แต่ไม่ปรากฎให้เห็นว่าทำอะไรบ้าง เลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่ และวงเงินกู้ชดเลยการขาดดุลประมาณ 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับงบลงทุน 8.64 แสนล้านบาท ไม่ต่างจากกู้มาลงทุน  จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่จะใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล