วันที่ 1 ก.ย.68 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “จักรภพ เพ็ญแข – Jakrapob Penkair” ระบุว่า...

คุณชัยเกษม นิติศิริ ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย

โดย จักรภพ เพ็ญแข

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

บางครั้งเราวิจารณ์การเมืองในปัจจุบัน โดยผสมปัจจัยนั่นนี่มากมาย ส่วนใหญ่ก็ตามใจและตามสติปัญญาของคนวิจารณ์เอง ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างอะไรจากอาหารที่กินได้บ้าง-กินไม่ได้บ้างไปตามเรื่อง อย่างตำแหน่งนายกรัฐมนตรีท่านต่อไปของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้นายกรัฐมนตรีเปลืองเกือบจะที่สุดในโลก ก็วิพากษ์วิจารณ์กันในเชิงสมการการเมือง จำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนฯ ค่ายต่าง ๆ ในพรรคที่ต้องเสนอชื่อคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจพิเศษ ฯลฯ สิ่งที่มักจะถามกันน้อยไปหน่อยก็คือ ตัวบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเอง มีความเป็นมาในชีวิตการทำงาน ความคิดเห็นทางการเมือง แนวโน้มของการตัดสินใจในนโยบาย บุคลิกภาพทางการเมืองอย่างไร แม้กระทั่งคำถามที่ว่า ตัวท่านอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศขนาดไหน

“ถ้าต้องเป็นก็เป็น สุดแล้วแต่ครรลอง ผมคงไม่ไขว่คว้า“ อดีตอัยการสูงสุดและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชัยเกษม นิติศิริ กล่าวด้วยเสียงเบา ๆ อ่อนโยน และหนักแน่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เมื่อสังคมเริ่มหันมาสนใจว่าบุคคลผู้มีชื่อเป็นลำดับที่ 3 และเป็นชื่อสุดท้ายในรายนามนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย คือใครมาจากไหนและจะพาประเทศไทยไปในทิศทางใด ถึงจะเป็นรัฐบาลที่มีเวลาไม่มากมายนักก็เถิด

ใครที่สรุปอย่างแทบไม่ต้องเอาสมองมาด้วยว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปคงจะเป็นตัวแทนของใครหรืออะไรบางอย่างอย่างชนิดที่ไม่ต้องเป็นตัวของตัวเองเลย อาจต้องประหลาดใจถึงขั้นผิดหวังเอาง่าย ๆ โดยเฉพาะในประเด็นนิติรัฐ หรือเมืองไทยกับกฎหมาย อำนาจ และความเป็นจริงในการบังคับใช้กฎหมาย ที่เป็นเรื่องของตัวตนยิ่งนัก

อดีตอัยการสูงสุดท่านนี้ไม่ได้มีบุคลิกภาพแบบโชว์พลัง (forceful) แต่ความคิดรวบยอดในทางกฎหมายของเจ้าตัวมีความชัดเจนและเข้มข้นสูงยิ่ง มีคำตอบเสมอในความถูกผิดในกรอบ “ยุติธรรม” (justice) ซึ่งเป็นคนละคำกับความเป็นธรรม (fairness) ซึ่งเป็นขั้นต่อไปที่สังคมต้องไปให้ถึง ถ้าเรายังต้องการศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในบ้านเมืองนึ้

การเมืองไทยมีความหมกมุ่นกับการเอาชนะตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ตนเองคิดว่าเป็นคนละฝ่าย ซึ่งเป็นอาการของโรคมาแล้วกว่ายี่สิบปีในความขัดแย้งรอบล่าสุด โซเชียลเน็ตเวิร์คก็ช่วยทำให้อารมณ์แสดงออกอันรุนแรง มีคุณภาพบ้างหรือเป็นแค่เศษขยะบ้าง ถูกระบายออกมาเหมือนอาหารเป็นพิษ ความคิดเห็นเชิงปริมาณมีมากล้น แต่คุณภาพมีน้อยถึงน้อยที่สุด ขนาดที่ต้องตั้งใจควานหาจึงจะเจอ

ในภาวะจิตใจและเครื่องมือแบบนี้ ทำให้เรารู้อะไรมากมาย แต่เข้าใจได้เพียงเล็กน้อย

ผมมั่นใจว่า ในช่วงเวลาที่ไม่นานนักของรัฐนาวาลำนี้ จะสร้างผลเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญให้กับบ้านเมือง ถามว่าทำไมความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นไม่เกิดขึ้นในเวลาที่ผ่านมาเล่า มารออะไรกับเวลาไม่กี่เดือนที่เหลืออยู่ ก็ตอบได้ทันทีว่า เพราะที่ผ่านมายังคงหมกมุ่นในสมการความขัดแย้งเดิม หรือปัจจัยประกอบส่วนที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

แต่คราวนี้เป็นช่วงเวลาที่ประเทศชาติเสียเวลาไม่ได้มากไปกว่านี้ ทั้งสถานการณ์ในประเทศเอง โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขัน และสถานการณ์รอบบ้านจนถึงระหว่างประเทศ ไม่มีอะไรที่รอคอยได้อีกต่อไป และไม่มีอะไรที่ดีขึ้นถ้าเราไม่เข้าไปบริหารทั้งหน้าฉากและหลังฉาก การสงครามระหว่างวัย-เจ็นก็แหลมคม จนแทบจะหาทางลดช่องว่างที่ถ่างออกเรื่อย ๆ ไม่เจอ

ท่ามกลางบรรยากาศที่ AI กำลังสยายปีกครอบงำชีวิตจิตใจของสังคมมนุษย์อยู่เป็นรายชั่วโมง

นายกรัฐมนตรีที่จะไม่แสดงตัวเองว่าเก่งกาจไปเสียทุกเรื่องในการบริหารรัฐกิจ จนนอบน้อมพอที่จะเลือกคนดีมีฝีมือมาช่วยตนเองในการบริหารประเทศ ขณะเดียวกันก็มั่นคงในหลักกฏหมายเพื่อให้ประเทศที่เกิดสภาพหลักการเละเทะ กลับมามีจุดยืนที่หนักแน่นพอที่เราจะพึ่งพาได้อีกครั้ง น่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่บ้านเมืองในเวลานี้ต้องการ คุณชัยเกษม นิติศิริ น่าจะเป็นบุคคลผู้นั้น

เพราะประโยคที่ว่า ”ผมคงไม่ไขว่คว้า” บอกอะไรกับเราหลายอย่างนัก

จักรภพ เพ็ญแข

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568