การเมืองไทยตลอดวันที่ 30 สิงหาคม 2568 พลิกผันแทบทุกชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เช้า เมื่อมีการเปิดเผยจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มาเจรจาด้วยจริง เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชนให้โหวตเลือกนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลใหม่
แต่คำตอบของนายธนาธรกลับทำให้ดีลนี้สะดุด เมื่อย้ำชัดว่าตนเองไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ และโยนเรื่องดังกล่าวให้หัวหน้าพรรคประชาชนเป็นผู้ชี้ขาด พร้อมระบุว่าพรรคประชาชนมี TOR หรือเงื่อนไขชัดเจน หากพรรคเพื่อไทยยอมรับได้ก็สามารถเจรจากับหัวหน้าพรรคได้โดยตรง ขณะเดียวกัน นายธนาธรยังพูดถึงข้อเสนอจากพรรคภูมิใจไทยที่อยู่บนโต๊ะ และชี้ว่าทั้งสองขั้วการเมืองไม่สามารถรวมเสียงข้างมากได้จริง การคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาจึงเป็นทางออกที่ควรพิจารณา
ต่อมาในช่วงบ่าย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างหนักแน่น ยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่มีดีลลับกับพรรคภูมิใจไทยเพื่อแลกเก้าอี้รัฐมนตรี 8 ตำแหน่งตามกระแสข่าว พร้อมย้ำว่าพรรคมีเป้าหมายชัดเจนคือการใช้เสียง 143 เสียงเพื่อผ่าทางตันทางการเมือง แต่จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและไม่รับเจรจาใต้โต๊ะ หากไม่เป็นการเจรจาอย่างเป็นทางการต่อหน้ากรรมการบริหารพรรค
คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวจึงมีนัยสำคัญ เพราะสะท้อนว่าพรรคประชาชนไม่พอใจการที่นายทักษิณเลือกใช้ “คนกลาง” อย่างนายธนาธร มากกว่าจะมุ่งตรงมายังผู้นำพรรคโดยตรง และการแสดงท่าทีนี้จึงถูกตีความได้ว่าเป็นการ “หักหน้า” นายทักษิณ และทำให้พรรคเพื่อไทยเสียจังหวะทันที
สถานการณ์ยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ “เจี๊ยบ” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ปฏิเสธกระแสข่าวว่าเพื่อไทยพร้อมจับมือกับพรรคประชาชน โดยย้ำว่าความจริงคือเพื่อไทยไม่เคยติดต่ออย่างเป็นทางการ แต่กลับปล่อยข่าวเพื่อกั๊กภูมิใจไทย พร้อมใช้ถ้อยคำรุนแรงว่า มีแต่ “คนกะล่อนทุศีล” ที่จะโกหกคำโตเช่นนี้ และยืนยันว่าเพื่อไทยไม่เคยติดต่อพรรคประชาชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อเชื่อมโยงทั้งสามเหตุการณ์ จะเห็นชัดว่าโอกาสของพรรคเพื่อไทยในการดึงพรรคประชาชนหนุนนายชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรีลดลงอย่างมาก การที่นายทักษิณเลือกคุยผ่านนายธนาธรไม่เพียงไม่ได้ผล หากยังตอกย้ำภาพว่าเพื่อไทยเดินเกม “หลังบ้าน” ซึ่งตรงข้ามกับท่าทีของพรรคประชาชนที่ยืนกรานว่า การเจรจาจะต้องโปร่งใส และเป็นทางการเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทย แม้ยังไม่การันตีว่า 280 เสียงที่ประกาศไว้จะเป็นจริง แต่ก็ได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ เพราะพรรคประชาชนไม่ได้ปิดประตูใส่ภูมิใจไทย และหากมองในเชิงจิตวิทยา พรรคประชาชนเองก็มีแรงกดดันจากฐานเสียงที่ไม่อยากเห็นพรรคกลับไปอยู่ใต้ร่มเงาเพื่อไทยอีก
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า พรรคประชาชนกำลังเอนเอียงไปในทิศทางของการให้การสนับสนุนภูมิใจไทยมากกว่าเพื่อไทย ถึงจะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณที่ปล่อยออกมาตลอดทั้งวันคือการรักษาภาพลักษณ์ความเป็นอิสระทางการเมือง และพร้อมพิจารณาข้อเสนอจากพรรคที่กล้าเจรจาตรงกับกรรมการบริหารพรรค
หากมองในเชิงกลยุทธ์ นี่คือการ “หักหมาก” ชัดเจนต่อระบอบทักษิณ ทำให้โอกาสของนายชัยเกษมในการเป็นนายกรัฐมนตรีลดลงทันที ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทยกลับมีโอกาสมากขึ้นในการสร้างภาพว่าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ถึงยังไม่สามารถรวมเสียงข้างมากได้อย่างมั่นคง แต่การได้สัญญาณบวกจากพรรคประชาชน ก็เพียงพอที่จะสร้างความได้เปรียบทางการเมืองในเวลานี้
คนไทยทั้งประเทศจึงต้องจับตา ว่าดีลครั้งนี้จะกลายเป็นจุดพลิกประวัติศาสตร์การเมืองไทย หรือจะเป็นเพียงเกมหักหลังชั่วคราวในศึกแย่งชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ยังไม่รู้ตอนจบ
#การเมืองไทย #พรรคเพื่อไทย #พรรคภูมิใจไทย #พรรคประชาชน #ทักษิณ #ธนาธร #อนุทิน #ชัยเกษม #ข่าวการเมือง #ศึกชิงนายก