"เชาว์" กระตุกเพื่อไทย อย่าคิดยุบสภาแก้การเมือง ระวังไม้ตายกลายเป็นทางตัน ฟันธง “อำนาจใกล้อัสดงเหลือแค่ความเสื่อมถอย” ชี้ ภูมิใจไทย จุดเปลี่ยนสมการการเมือง

วันที่ 30 ส.ค.68 นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง “ยุบสภา” ไม่ใช่ดาบสุดท้าย แต่คือดาบแหลมที่ทิ่มแทงเพื่อไทยเอง มีเนื้อหาระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 6 ต่อ 3 ชี้ชัดว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน และเมื่อความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง คณะรัฐมนตรีทั้งชุดต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 แต่ยังทำหน้าที่รักษาการตามมาตรา 168 ต่อไป
ในสถานการณ์เช่นนี้ ภารกิจของสภาผู้แทนราษฎรถูกระบุไว้อย่างชัดเจน ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ไม่ใช่การยุบสภาอย่างที่บางฝ่ายพยายามหยิบมาเป็น “ไม้ตาย”

อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าอำนาจในการยุบสภาเป็น “อำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรี” ที่ผูกกับตำแหน่งโดยตรง ไม่ใช่อำนาจที่รักษาการสามารถใช้แทนได้ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีสิทธิในทางกฎหมายที่จะกดปุ่มยุบสภา พร้อมเตือนว่า หากฝืนทำ การยุบสภาจะไม่ใช่ดาบสุดท้าย แต่เป็นดาบที่หันกลับมาทิ่มแทงตัวเอง กลายเป็นการละเมิดมาตรฐานจริยธรรม และเสี่ยงถูกดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 157 ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายเชาว์ วิเคราะห์ต่อว่า ในเชิงการเมือง ความพยายามชู “ยุบสภา” สะท้อนถึงทางตันของพรรคเพื่อไทย ที่ยังไม่สามารถรวมเสียงข้างมากได้ หากเดินเกมผิด ย่อมเท่ากับผลักพรรคไปสู่มุมอับมากกว่าแก้สถานการณ์ เพราะเมื่ออำนาจไม่อยู่ในมือ อาวุธที่หยิบขึ้นมาขู่จึงอาจกลายเป็นกับดักของตนเอง กระโดดลงสนามเลือกตั้งเมื่อไหร่ เพื่อไทยอาจได้บทเรียนสำคัญที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ไม่ใช่แค่อกหักเป็นพรรคอันดับสองจนช็อกทั้งพรรคเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ตำแหน่งในใจประชาชนอาจร่วงกราวรูดมากกว่านั้น 

“สำหรับเพื่อไทยจึงไม่มีอะไรง่ายในยามที่ อำนาจใกล้อัสดง เหลือเพียงเงาสะท้อนแห่งความเสื่อมถอย ในทางกลับกัน เกมต่อรองกลับโยกไปอยู่ที่ซีกของพรรคภูมิใจไทยที่เสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หากขั้วนี้สามารถรวมเสียงได้จริง จะเป็นการเปลี่ยนสมการทางอำนาจครั้งสำคัญ และตอกย้ำว่า พรรคเพื่อไทย ไม่เพียงสูญเสียผู้นำ แต่ยังเสี่ยงสูญเสียบทบาทการนำรัฐบาลไปโดยปริยาย” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุทิ้งท้าย