คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย                        

น่าแปลกใจที่ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี”แห่งอินเดีย ที่ก่อนหน้านี้เคยใกล้ชิดสนิทสนมกับอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาแทบทุกคนรวมทั้ง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ด้วยเช่นกัน  แต่เป็นเพราะเหตุใดที่ขณะนี้อินเดียมีท่าทีหมางเมินสหรัฐฯหันไปซบอกจีน

เนื่องจากที่ผ่านมา “ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน” ต้องการใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการเปิดสงครามสู้รบกับยูเครน ดังนั้นรัสเซียจึงต้องขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้ทุกๆประเทศที่รวมไปถึงอินเดียด้วยเช่นกัน!!!

และเนื่องจากนายกรัฐมนตรีโมดี ต้องการเร่งพัฒนาประเทศอินเดีย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมหาศาล โดยอินเดียตัดสินใจที่จะหันไปซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากรัสเซีย

แต่การที่อินเดียหันไปซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากรัสเซียเป็นจำนวนมหาศาลอยู่นั้น กลับไปสร้างความรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ จนในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะออกมาประกาศยื่นคำขาดต่อนายกรัฐมนตรีโมดีให้ยุติการสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากรัสเซีย มิเช่นนั้นแล้วอินเดียจะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯสองเท่าตัวจาก 25% เป็น 50%เลยทีเดียว

โดยประธานาธิบดีทรัมป์หวังใจเอาไว้ว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีโมดีได้ยินคำขู่ของเขา อินเดียคงจะกลัวจนลนลาน จนต้องออกมาเจรจราประนีประนอม แต่ปรากฏว่านายกฯโมดีกลับเฉยเมยมิสนใจไยดีต่อคำขู่ โดยกระทรวงต่างประเทศอินเดียออกมากล่าวว่า “ข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สมเหตุสมผล และอินเดียจะดำเนินทุกวิถีทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” (ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ New York Times: August 7, 2025: India Bought Russian Oil. Now It’s a Trade-War Weapon)

และอย่าลืมว่าขณะนี้ นายกรัฐมนตรีโมดี ของอินเดีย เป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

อีกทั้งชาวอินเดียส่วนใหญ่เห็นด้วยกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีโมดี ที่ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อประธานาธิบดีทรัมป์ โดยชาวอินเดียเล็งเห็นว่า เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง!!!

จะเห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีโมดี กำลังเร่งรุดที่จะพัฒนาประเทศอินเดีย และยังหันไปสร้างสัมพันธไมตรีเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมกับประเทศจีนมากยิ่งๆขึ้น โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2025  รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนได้เดินทางไปเยือนประเทศอินเดียเป็นครั้งแรกในรอบสามปีอีกด้วย

การเยือนประเทศอินเดียของรัฐมนตรีฯต่างประเทศของจีนในครั้งนี้ ทั้งสองประเทศยังได้เซ็นต์สนธิสัญญาในการร่วมมือกันด้านการท่องเที่ยวและยังร่วมกันปรับความสัมพันธ์ทางด้านการค้าขึ้นมาใหม่ แถมจีนได้ดำริที่จะขายสินค้าที่อินเดียต้องการเพิ่มมากขึ้น โดยทั้งสองประเทศยังต้องการที่จะปรึกษาหารือช่วยกันแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตพรมแดน

และที่สำคัญที่สุดก็คือนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังมีหมายกำหนดการที่จะเดินทางไปเยือนจีนระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม จนถึงวันที่ 1 กันยายน 2025 โดยจะเข้าไปพบปะเจรจากับ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” อีกด้วย

ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางไปเยือนประเทศจีน นายกรัฐมนตรีโมดี จะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 29 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2025

ดูๆไปแล้วจะเห็นได้ว่าขณะนี้ประเทศอินเดียกำลังเร่งปรับความสัมพันธ์ทางการทูตใหม่จนเกือบถอดด้าม เพราะที่ผ่านๆมาในอดีตอินเดียจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับรัสเซียมากที่สุด

แต่ขณะนี้อินเดียปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ โดยเข้าไปเพิ่มความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับฝรั่งเศสโดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกันทางด้านการทหาร แถมเวลาเดียวกันอินเดียก็ยังออกมากระชับความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าคำขู่ที่ออกมาจากปากของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ต่อ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี”จะไร้ผลไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป จนมีผลทำให้ขณะนี้ประเทศอินเดียได้รับความชื่นชมในการรักศักดิ์ศรีจากนานาประเทศที่เหม็นเบื่อขี้หน้าผู้นำของสหรัฐฯ และยังดูเหมือนว่าขณะนี้ประเทศในแถบทวีปเอเชียยังเข้าไปร่วมจับมือเป็นพันธมิตรอันดีกับประเทศจีน สืบเนื่องมาจากสหรัฐฯไม่แสดงท่าทีที่เข้มแข็งและมั่นคงสมกับเป็นประเทศมหาอำนาจที่เคยเป็นพันธมิตรอันดีเหมือนแต่เก่าก่อนละครับ