ลีลาชีวิต/ทวี สุรฤทธิกุล

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชคือพระมหากษัตริย์ผู้นำการเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่มาสู่ประเทศไทย ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบุคคลหนึ่งที่เรียกว่า “ใกล้ชิด” กับสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างแนบแน่น ทั้งทางสายเลือดที่เป็นเชื้อพระวงศ์ในลำดับ “หม่อมราชวงศ์” และทาง “ประสบการณ์” ที่ต้องเกี่ยวข้องกับองค์พระมหากษัตริย์มาตลอดชีวิต แม้อาจจะไม่ได้เข้าไปสนองพระบาทอย่างใกล้ชิด แต่ก็ต้องอยู่ร่วมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็น “ผู้นำ” ในการกระทำต่าง ๆ นั้นมาโดยตลอด

ท่านเกิดในเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 สวรรคตไปได้ไม่ถึงหนึ่งปี และเติบโตมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ในช่วงที่ประเทศไทยได้มีการพัฒนาไปมากในหลาย ๆ ด้าน กระนั้นสิ่งที่ท่านประทับใจมาก ๆ ในวัยเด็กก็คือ การได้เข้าไป “วิ่งเล่น” อยู่ในวัง ทั้งในวังหลวงคือพระบรมมหาราชวัง โดยไปกับท่านแม่เพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงของท่านแม่อยู่เป็นประจำ และที่ในวังพญาไทอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ที่ได้ปลูกฝังให้ท่านเข้าใจอย่างซาบซึ้งถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อคนไทย จนถึงขั้นที่ทำให้ท่านเชื่อว่า “คนไทยขาดพระมหากษัตริย์ไม่ได้”

ในสมัยรัชกาลที่ 7 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เดินทางไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมาใน พ.ศ. 2476 ประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแล้ว ท่านกลับมาได้รับราชการในกระทรวงการคลัง แต่ด้วยสถานะท่านที่ “มีเชื้อเจ้า” อันเป็นที่เพ่งเล็งของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองในยุคนั้น ทำให้ท่านจำต้องเปลี่ยนงานไปสู่ภาคเอกชน อพยพครอบครัวไปเป็นนายแบ๊งค์อยู่ที่จังหวัดลำปาง กว่าจะได้กลับมาก็ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะสิ้นสุด อันเป็นเวลาที่พวกคณะราษฎรแตกแยกและหมดอำนาจลง ท่านได้งานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมกับเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ พอสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง “ฟ้าก็เปิด” ท่านได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนอาจารย์และคนหนังสือพิมพ์ให้ลงเลือกตั้ง และกลายเป็น “ดาวเด่น” ทางการเมืองมาตั้งแต่บัดนั้น

การสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 นำความเศร้าโศกมาสู่คนไทยจำนวนมาก ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้บวชถวายเป็นพระราชกุศล แล้วลาสิกขามาตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ นวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ของท่านที่เขียนในปีแรกของการก่อตั้งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ได้สร้างกระแสของความ “รักพระมหากษัตริย์” ขึ้นอย่างรุนแรง พร้อมกับที่คณะทหารที่ปกครองประเทศในช่วงนั้นก็ปรับตัวเพื่อ “ปกป้องและส่งเสริม” พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ให้เข้มแข็งและสูงส่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ขึ้นสู่อำนาจหลังการรัฐประหารใน พ.ศ. 2500

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง นั่นก็คือคือความแตกแยกในสังคมไทยที่เป็นผลจากการยึดครองอำนาจโดยคณะราษฎรมาตั้ง พ.ศ. 2475 ที่ได้แยกคนไทยเป็น “พวกรักเจ้า” กับ “พวกไม่เอาเจ้า” แม้ว่าการรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 จะได้ทำให้สภาพของความเป็นคณะราษฎรได้สิ้นสุดไป และคณะทหารที่นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะมีทีท่าว่าได้ร่วมฟื้นฟูพราชสถานะของพระมหากษัตริย์ให้กลับคืนมา แต่กระนั้นก็เกิดมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น คือการแทรกซึมของพวกคอมมิวนิสต์ที่ต้องการแบ่งแยกคนไทยออกจากระบบราชการ ที่รวมถึงพระมหากษัตริย์นั้นด้วย ภายใต้สภาพการเมืองระหว่างประเทศ ที่สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตรัสเซียได้ก่อ  “สงครามเย็น” คือการแข่งขันกันของโลกเสรีประชาธิปไตยกับโลกเผด็จการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยประเทศไทยได้เลือกอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศไทยเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่จะเข้ามายึดครอง โดยมีประเทศจีนที่เป็นพันธมิตรกับรัสเซียและเพิ่งเปลี่ยนมาปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ใน พ.ศ. 2492 ได้ให้การสนับสนุนพวกคอมมิวนิสต์ในไทย และปลุกปั่นยุยงให้คนไทยเกลียดชังข้าราชการและพระมหากษัตริย์ดังกล่าว

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชทรงทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ของประเทศไทยและคนไทยเป็นอย่างดี รวมถึงปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามโลกอยู่ในครั้งนั้น อันน่าจะเนื่องมาจากได้ทรงศึกษาอยู่ในยุโรปมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโกลครั้งที่ 1 ที่ลัทธิสังคมนิยมกำลังแผ่ขยายอยู่ในยุโรปตะวันออก ด้วยการรุกรานเข้ายึดครองของสหภาพโซเวียต ครั้นเมื่อได้เถลิงถวัลยราชสมบัติอย่างเต็มพระองค์ใน พ.ศ. 2493 ที่ประเทศจีนเพิ่งจะเป็นคอมมิวนิสต์มาได้ไม่นาน พระองค์ท่านก็ต้องทรงตระหนักถึงภัยคอมมิวนิสต์ที่กำลังแผ่เข้ามาในไทยอย่างน่ากลัวนั้นด้วย แต่กระนั้นท่านก็ “ทรงสู้” กับคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการของพระองค์ท่าน และก็ทรงประสบความสำเร็จ อย่างที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน ภายหลังจากที่กลับมาจากการไปเปิดสัมพันธไนตรีกับจีนคอมมิวนิสต์ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ว่า “เหมาเจ๋อตุงแนะนำประเทศไทยว่าวิธีปราบคอมมิวนิสต์คืออย่าไปฆ่ามัน ยิ่งฆ่ามันยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะมันอยากดัง เห็นไหมมันมีคำขวัญว่า ตายสิบเกิดแสน นั่นไง แค่ลื้อทำให้คนไทยมีกินมีใช้ อยู่ดีกินดี แค่นี้คอมมิวนิสต์มันก็แพ้แล้ว เจ้านาย(หมายถึงพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช)ของพวกคุณรู้ดี ท่านทำมาก่อนแล้ว”

ยุทธวิธีของคอมมิวนิสต์ในสมัยที่เริ่มต่อสู้กับทางการของไทย ที่เริ่มแทรกซึมไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในชนบทห่างไกลนั้น (เป็นช่วงราว พ.ศ. 2493 - 2507) ใช้วิธีการที่พวกคอมมิวนิสต์เรียกว่า “แยกปลาออกจากน้ำ” หมายถึงการแยกประชาชนออกจากข้าราชการและพระมหากษัตริย์ ด้วยการ “ล้างสมอง” ว่า ข้าราชการคือพวกที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหง โกงกินคอรัปชั่น และทำตัวเป็นเจ้าคนนายคน แบบที่เรียกว่า “ศักดินา” ที่รวมถึงถึงพวกกษัตริย์นั้นด้วย โดยที่กษัตริย์เป็นผู้สร้างศักดินา อุดหนุนและส่งเสริมศักดินา เพื่อให้ศักดินามาค้ำจุนและจงรักภักดีต่อกษัตริย์ เพื่อกษัตริย์จะได้ “เสวยสุข” โดยใช้ข้าราชการไปกดขี่ขูดรีดประชาชนมาถวายแด่กษัตริย์ การมีศักดินาจึงเป็น “แอก” (เครื่องสรวมคอวัวควายในเวลาที่จะใช้ลากเกวียนหรือไถนา) ที่คนไทยต้อง “ปลดแอก” เพื่อสร้างสังคมที่แต่ความเสมอภาคเท่าเทียมและมีความสุข

ในสมัยนั้นคนไทยกลัวคอมมิวนิสต์มาก โดยเฉพาะความเชื่อที่เชื่อกันว่าคอมมิวนิสต์จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันกระอันเป็นคอมมิวนิสต์ขึ้นใน พ.ศ. 2495 (พระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 ใน พ.ศ. 2470 ภายหลังที่รัสเซียมีการล้มระบอบกษัตริย์ใน พ.ศ. 2450 พอคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยกเลิก แต่ใน พ.ศ. 2476 รัฐสภาในยุคแรกได้ออกพระราชบัญญัติต่อต้านคอมมิวนิสต์เพื่อกำจัดหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ที่กำลังเผยแพร่สมุดปกเหลือง หรือ “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ที่ชนชั้นนำในยุคนั้นมองว่าเป็นแนวทางแบบคอมมิวนิสต์ แต่ได้ถูกยกเลิกอีกภายหลังที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมหรือนายปรีดี พนมยงค์ ได้กลับคืนประเทศไทยใน พ.ศ. 2477 แต่เมื่อนายปรีดีหมดอำนาจไปภายหลังกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ใน พ.ศ. 2489 แนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็ถูกรื้อฟื้น) ที่ใช้กันมาจนถึง พ.ศ. 2543 จึงมีการยกเลิกกฎหมายนี้ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า พระนาม “ภูมิพลอดุลยเดช” เป็นสิ่ง “ทำนาย” หรือบอกอนาคตของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มาตั้งแต่ต้น ว่าพระองค์จะต้องเป็น “กำลังของแผ่นดิน” ที่สำคัญในยุคสมัยของพระองค์ ซึ่งพระราชกรณียกิจตลอดเวลา ที่พระองค์ท่านได้ลงทรงงานในพื้นที่ทั่วประเทศไทย นับแต่ พ.ศ. 2498 ถึง พ.ศ. 2557 รวมเวลา 59 ปี เป็นสิ่งชี้ชัดถึงพระนามนี้ว่า ได้ทรงเป็นกำลังที่สำคัญของแผ่นดินนี้จริง ๆ

คือพลังที่ทรงเชื่อมรอยร้าวในสังคมให้เป็นปึกแผ่นแข็งแรง และทรงสร้างสานพัฒนาให้เติบโตสวยงามและสงบสุขเรื่อยมา