ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“...วิถีแห่งการเติบใหญ่ของมวลมนุษย์..จักต้องเคยคุ้นกับการข้ามสะพาน ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก สักที่สักแห่ง..มันอาจตั้งอยู่เหนือแม่น้ำสายใหญ่อันกว้างไกลและเร้นลึก..หรือไม่ก็เป็นเพียงราวไม้เล็กๆที่ใช้เกาะเกี่ยวพยุงตัว เพื่อข้ามฟากเหนือลำน้ำที่ไหลเรื่อยอย่างรวยริน..และพร้อมจะแห้งขอด..

แท้จริงแล้ว.. “ฉากทัศน์” ทั้งหมดนั้นก็คือ..ภาวะแสดงของการดำรงอยู่บนโลกนี้..ที่ทั้งอยู่เหนือและอยู่ใต้ล่างวิถีแห่งสัจธรรม ที่ดำเนินไปอย่างไม่ขาดห้วง  ..บางครั้งอาจปะทุรุนแรง หรือบางครั้งก็อาจจะมอดดับพลังแรงลงได้ทุกเมื่อ..นั่นคือเงาสะท้อนของความเชื่อ..ที่หยั่งรากการเคลื่อนหมุนชะตากรรมแห่งชีวิตของแต่ละผู้คน ไปอย่างไม่หยุดยั้ง..

*อีกฝั่งของสะพาน/อีกด้านแม่น้ำมีความหมาย/พลิกมุมมองลึก-กว้างอย่างแยบคาย/ สิ่งทั้งหลายหลอมสร้างระหว่างกัน..*

..บทเริ่มต้นแห่งสำนึกคิดข้างต้น คือต้นรากทาง “ปัญญาญาณ” ของรวมบทกวีที่ถือกำเนิดจากประสบการณ์อันเคี่ยวกรำ..และตกผลึกของชีวิต ผ่านข้ามจักรวาลแห่งการหยั่งรู้ด้วยการมองเห็นและข้ามผ่านพันธะของชีวิตที่มีทั้งดีและร้าย/สุขและเศร้า/พ่ายแพ้หรือบาดเจ็บ/กระทั่ง..สุขสำเร็จเหนือชัยชนะ../

“แม่น้ำต่างหากสร้างสะพาน” (WHEN THE RIVER CREATES THE BRIDGE)..รวมบทกวีแห่งเนื้อในของประสบการณ์ชีวผลงานโดยรวมของเขาคือการเก็บเกี่ยวผลกระทบอันไหวหวั่นจากกายสู่ใจ..จากสังคมสู่นัยความรู้สึก..จากอารมณ์สามัญสู่ข้อวินิจฉัยแห่งจิตวิญญาณอันแผดกล้าและล้ำลึก..เป็นย่างก้าวแห่งลีลาของนัยสำนึกอันครวญคิด..นับแต่ภาวะส่วนตัวข้ามผ่านไปสู่..ชีวิตของสังคมอันแผ่ขยายไปด้วยประเด็นแห่งเหตุการณ์อันเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งวิกฤต..

ความคมชัดแห่งภาวะนานา..เมื่อผสานเข้ากับอารมณ์ร่วมแห่ง “สำนึกกวี” จึงทำให้ปรากฏผลลัพธ์แห่งภาพขยายอันเปิดกว้างของโลกที่เป็นทั้งความจริงและความเท็จระคนกัน..!

“อพยพหวังแสวงแสงสว่าง/สิ้นหนทางเสาะแสวงแสงสวรรค์/คลื่นวิกฤตซัดสาดชาติพันธุ์/ท่ามหมอกควันอึมครึมโลกทึมเทา/  พลัดตกลงหลุมหล่มความขมขื่น/มา “เป็นอื่น” อีกพรมแดนอันแสนเศร้า/ถูกกดทับลับเร้นไม่เห็นเงา/จึงว่างเปล่าชีวิตไร้สิทธิ/บ้านเกิด “ภาคใต้” มาสู่บ้านแห่งการเรียนรู้ในดินแดนตะวันตกสุดของแผ่นดิน..ส่วนหนึ่งของการประจักษ์เรียนรู้ คือการโดนข่มเหงและถูกกระทำอย่างเหยียดหยามของ “เพื่อนร่วมถิ่น” อย่างอยุติธรรม..มันคือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการประจันหน้าอันเจ็บปวดด้วยอคติและความอยุติธรรม..!

“หรือความชังความเชื่อสุมเชื้อไฟ/เนื้อหัวใจถูกกระแทกจนแตกปริ/ซื่อใสสะอาดขาวราวมะลิ/นั่น ดูสิความสิ้นหวังเกินหยั่งวัด/ ในวังวนชนชั้นแห่งสัญชาติ/ล้วนผูกขาดความเป็นคนไว้บนบัตรฯ/โดยกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นเป็นรัฐ/เพื่อสังกัดประทับตราประชาชน/”

“แม่น้ำต่างหากสร้างสะพาน"(WHEN THE RIVER CREATES THE BRIDGE)..รวมบทกวีแห่งเนื้อในของประสบการณ์ โดยกวีนักเดินทางผู้สังเกตการณ์และแสวงหา “วิศิษฐ์ ปรียานนท์” ..ผลงานโดยรวมของเขา..คือการเก็บเกี่ยวผลกระทบอันสั่นไหว จากกายสู่ใจ ..จากสังคมสู่นัยความรู้สึก..จากอารมณ์สามัญสู่ข้อวินิจฉัยแห่งจิตวิญญาณอันแผดกล้าและล้ำลึก..เป็นย่างก้าวแห่งลีลาของรัฐสำนึกอันครวญคิด..นับแต่ภาวะส่วนตัว ข้ามผ่านไปสู่..ชีวิตของสังคมอันแผ่ขยายไปด้วยประเด็นแห่งเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลอันวิกฤต..

ความคมชัดแห่งสภาวะมืดมนนานา..เมื่อผสานเข้ากับอารมณ์แห่ง “สำนึกกวี” จึงทำให้ปรากฏผลลัพธ์ภาพขยายอันเปิดกว้างของโลกที่เป็นทั้งความจริงและความเท็จระคนกัน..! “อพยพหวังแสวงแสงสว่าง/สิ้นหนทางเสาะแสวงแสงสวรรค์/คลื่่นวิกฤตซัดสาดชาติพันธุ์/ท่ามหมอกควันอันอึมครึมโลกทึมเทา/

 พลัดตกลงหลุมหล่มความขมขื่น/มา “เป็นอื่น” อีกพรมแดนอันแสนเศร้า/ถูกกดทับลับเร้นไม่เห็นเงา/จึงว่างเปล่าชีวิตไร้สิทธิ”/

..จากบ้านเกิด ณ แดนใต้..มาสู่บ้านแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่ชีวิตด้านตะวันตกสุดของแผ่นดิน..ส่วนหนึ่งของการประจักษ์เรียนรู้ที่ได้พบของ “วิศิษฐ์” ก็คือการได้เห็นการโดนข่มเหงและถูกกระทำอย่างเหยียดหยามของ “เพื่อนร่วมถิ่น” อย่างอยุติธรรม..มันคือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของการประจันหน้าอันเจ็บปวด ทั้งด้วยอคติและความอยุติธรรม..!

“หรือความชังความเชื่อสุมเชื้อไฟ/เนื้อหัวใจถูกกระแทกจนแตกปริ/ซื่อใสสะอาดขาวราวมะลิ/นั่น ดูสิความสิ้นหวังเกินหยั่งวัด/  ในวังวนชนชั้นแห่งสัญชาติ/ล้วนผูกขาดความเป็นคนไว้บนบัตรฯ/โดยกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นเป็นรัฐ/เพื่อสังกัดประทับตราประชาชน”/

*ปรากฏการณ์แห่งการกดทับรังแก..และย่ำยี “ชนพลัดถิ่น” โดยเหมือนไม่นับเนื่องและยกย่องเขาว่าเป็น “เพื่อนร่วมโลก” อุบัติขึ้นจนกลายเป็นฉากแสดงอันขมขื่นเหนือโศกนาฏกรรมใดๆ.. มันกลับกลายเป็นสาระโครงเรื่องของ “รอยแผลเป็นแห่งบทกวี”..บนชะตากรรมที่ถูกขึงพืดด้วย “สำนึกแห่งบาปของคนใจบาป”ภาพเงาสะท้อนแห่งการถูกเบิกประจานอันชั่วร้ายบาดเจ็บ..ที่ยากจะให้อภัย..!

“..แปดสิบแดดแปดสิบฝนคนคนหนึ่ง/มาอิงพึ่งอีกแคว้นดินแดนอื่น/หยั่งรกรากปักฐานการหยัดยืน/ทั้งสุขสม ขมขื่น ฝืนทน/ อพยพจากแคว้นต่างแดนด้าว/เมื่อคราวเป็นหนุ่มมุ่งดุ่มด้น/ไม่มีบัตรชี้ว่าประชาชน/ความเป็นคนจึงเหมือน เรือนราง/..สถานะอันมืดมนข้างต้นของ “หม่องกะลา”..จึ่งคือตัวอย่างของผู้ถูกกระทำโดย “ชาวเรา” ผู้มีอำนาจเหนืออย่างอำมหิตในที่สุด..!

“ฉับพลันสายวันหนึ่ง/มาถึงการอ้างสิทธิลอดยึดที่/หลายไร่เคยทำกินผืนดินนี้/กลับมีผู้ถือครองเป็นของใคร?/..ถูกรุกล้ำว่ารุกล้ำ กล้ำกลืน/จนตกเป็นของผู้อื่นทั้งผืนไร่/ตะแบงแย่งยื้อโดยมือใด/ปักเขตห้ามเข้าไปในนั้น”/..ที่สุดแล้วข่าวคราวชีวิตของ “หม่องกะลา” ก็โด่งดังไปทั่วแผ่นดิน..ด้วยแพพักที่อิงอาศัยต้องถูกเผาผลาญด้วยไฟของความร้อนร้ายและชั่วร้าย..นั่นคือ “สะพานข้ามชีวิต” ใต้ล่างชะตากรรมที่ไม่ได้ร่างแบบและวาดแต่งเอง..!

การมองเห็นเนื้อในแห่งภาพลักษณ์ของ “รอยบาปแห่งชะตากรรม” ที่เกิดขึ้น..คือผลพวงแห่งสายตาเชิงพิเคราะห์ ที่มีส่วนทำให้..ความรู้สึกและรสชาติแห่งบทกวีของ “วิศิษฐ์” ก่อผัสสะแห่งการรับรู้ในรู้สึก..ได้อย่างแม่นตรงและเต็มไปด้วยไปด้วยนัยสำนึก..!

...ในเมื่อยามที่ชีวิตต้องพบกับความล้มเหลวและผิดหวัง การกลับสู่อ้อมอกของ “แม่”..ณ  “ดินแดนบ้านเกิด” ภาคใต้..คือความหมายเเห่งการเยียวยาชีวิตที่มีคุณค่าของเขา..ภาษาแห่งบทกวีในบริบท

ของชีวิตดังกล่าวนี้คือ..ท่วงทำนองของความเป็น “สุนทรียรส” ที่สะท้อนถ่ายออกมาจากใจสู่ใจโดยแท้..เป็นสะพานเชื่อมโยงเบื้องลึกแห่งจิตวิญญาณให้คืนกลับสู่พลังของการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง..!.นั่นคือ “สะพานแห่งบุญ”

“เลื่อนลอย ย่อยยับ กลับบ้าน/หลังชีวิต พบ ผ่าน สิ่งเก่า ใหม่/เดินทางข้างนอก-ออกข้างใน/เพื่อเสาะค้นผจญไปในทุกครั้ง/ บินข้ามแม่น้ำกว้างแผ่กลางปีก/เรียนรู้โลกอีกซีก ฝั่งอีกฝั่ง/เคยผิด เคยพลาด เคยพลั้ง/แอบหลั่งน้ำตาเยียวยาตัวเอง/ ตกงานไม้ถึงตายแค่พ่ายแพ้/คำของแม่ยัง “ทำงาน” ขับขานเปล่ง/คำของแม่ยังกังวานหวานบทเพลง/ “ถึงพ่ายแพ้แต่เอ็งอย่ายอมแพ้”/ 

“สะพานข้ามชีวิต”..ที่ทอดยาวด้วยน้ำคำแห่งใจของแม่..ดุจดั่งคาถาวิเศษ ที่นำพาชีวิตให้เอาชนะวิถีแห่งอุปสรรคที่รุกกระหน่ำ..!

*ความศรัทธาต่อการ มีอยู่.. นับเป็นสะพานในอีกมิติหนึ่งที่ทำให้ “ชีวิตแห่งความคิด” ของ “วิศิษฐ์” มีฐานรากที่งดงาม..มันคือความอ่อนโยนที่ค้ำจุนโครงสร้างแห่งตำนานอันเปราะบางของสะพานแห่งนี้..!

“..เคยเรียนรู้โลกอีกซีกอีกฝั่งด้าน/ปิดเทอมใหญ่สงกรานต์เที่ยวบ้านย่า/ตื่นเต้นสนุก ทุกครั้งครา/ข้ามทะเลสู่ขอบฟ้าอันดามัน/ จีน พุทธ มุสลิม มลายู/ความเป็นอยู่พื้นที่หลากสีสัน/พรมแดน ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์/เหลื่อมชนชั้นมนต์ลึกล้ำเหลื่อมตำนาน”

สิ่งที่ “วิศิษฐ์” ตอกย้ำประเด็นในสาระแห่งบทกวีของเขา..คือสำนึกแห่งความตระหนักรู้ ในโครงสร้างสังคมอันตีบตันต่อการเห็นอกเห็นใจ..มันเป็น “ภาพซ้ำ” อันจำเจ ที่วนเวียนและว่ายวนอยู่เสมอ..เป็นสะพานแห่งความทุกข์เศร้า..ที่ปลุกเร้าสัญชาตญาณแห่งความดีงามอยู่เสมอ... “ภาษากวี” ตรงจุดนี้..จึ่งเปรียบได้ดั่งรอยด่างแห่งความเกลียดชังของยุคสมัย..ที่เกิดขึ้นและดับไป..อย่างเงียบงัน..ไร้ความเป็นกลาง และไร้อนาคต..!

“..จุดยืนความเห็นห้ามเป็นกลาง/เอียงข้างชาวบ้านย่านท้องที่/สถาปนาว่าตนเป็นคนดี/คอยสอนชี้กี่พันธุ์เผ่าคนเท่ากัน/  สลายความลังเกลียดการเหยียดกด/อนาคตงดงามดั่งความฝัน/เหนือกฎกลเกมแห่งชนชั้น/ฟาดฟันกระเจิงเริงรัว/..ด้วยปณิธานของความเป็นกวี “สะพานแห่งความหวัง” นี้..เหมือนจะสร้างขึ้นได้อย่างยากลำบาก..

เนื่องเพราะ..รสชาติแห่งอำนาจ..นั้นคือ..ความสุขอันไร้ขอบเขตและข้อจำกัดของผู้ได้เปรียบ..แห่ง “โลก ณ วันนี้”

“คือความหวังดี กวีคนหนึ่ง/คิดว่าลึกซึ้งเข้าถึงแก่น/เข้าถึงความหมายเมืองชายแดน/แนบแน่นเหลือเกิน ผิวเผินนัก!/ แท้อยู่บนหอคอย ลอยตัว นิ่ง/ ความเป็นจริงยิ่งห่างไกลไม่ตระหนัก/เพียงพบเห็นรู้สึก ก็ทึกทัก/ว่าความจริงเชิงประจักษ์ ยิ่งทักทึก”/

“วิศิษฐ์” สร้างสรรค์บทกวีชุดนี้ของเขาด้วยรากฐานแห่งกลิ่นอายและสีสันของลมหายใจ “ชนบท”(Local Coler) ณ เขตแดนท้องถิ่นที่ร้างไร้การดูแลชีวิตอันชอบธรรม..เหตุนี้ฉากแสดงต่างอันเป็น ภาพลักษณ์ที่เด่นชัดของบทกวี..จึงเป็นดั่งสนามประลองของความผิดบาปกับคุณธรรมอยู่ซ้ำๆ..!

“..อำนาจผลัดเปลี่ยนเวียนวน/ประชาชนถูกกระชากพรากฝัน/ทุกตำแหน่งแห่งหนคือชนชั้น/ขีดคั่นแห้งผากหิวปากท้อง/ ห้วงเวลาภาวะร่วมสมัย/ต่างคว้าไขว่ฉวยฉกปกป้อง/..พ่อแม่พี่น้อง/ทั้งผองทั้งหมดปรากฏการณ์/..พร้อมชี้นำเคลื่อนไหวไปทุกเรื่อง/ไม่เท่าทันการเมือง ทุกเรื่องทุกด้าน/สวมคราบปัญญาชน ดลดาล/เบ่งบานเรืองรองทุ่งของตัว”/ที่สุดดูแล้ว..ผลงานบทกวีในแต่ละบท ในแต่ละฉากตอน..ของ “วิศิษฐ์” คือภาพแสดงแห่งความจริงของสังคมชีวิตที่เปิดเปลือย..จากนัยส่วนตัว สู่ความเป็นไปของสังคม..บทกวีในหลายๆส่วนเดินหน้าด้วยบทบาทชีวิตของตัวละคร..บ้างขื่นขม บ้างตกเป็นเหยื่อของการกระทำ และ..บ้างก็จมลึกอยู่กับความเศร้าแห่งหายนะทางจิตวิญญาณ..นั่นำหมายถึงว่า..บทกวีของเขามีส่วนขยายเชิงวรรณกรรมที่สามารถแปรค่า..เป็นลักษณาการอื่นได้..ไม่ว่าจะเป็น..เรื่องสั้น นวนิยาย บทละคร หรือแม้กระทั่งบทความชั้นดี..

ด้วยเจตจำนงของสาระ ด้วยความหนักแน่นจริงจังในกระบวนการเขียน และ ด้วยทัศนะอันก่อเกิดประโยชน์สุข.. “สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่แสดง” นั่นคือความลึกล้ำต่อการก่อเกิด “สะพานแห่งโลกของเจตจำนง”..ในบทสะท้อนกลับแห่ง “ห้วงเวลาภาวะร่วมสมัย”โดยแท้..

“จึงภาพเหล่าหญิงชายมือไม้ด้วน/คือชิ้นส่วนชีวิตถูกบิดผัน/หวาดระแวงถูกโจมตีทุกวี่วัน/เด็กๆพลันกำพร้าสุดอาวรณ์/ หักกิ่งไม้ไม่ว่างเว้นเล่นต่อสู้/โดยเรียนรู้เรื่องเล่าแต่เก่าก่อน/รุ่นต่อรุ่นประวัติศาสตร์ไม่ขาดตอน/สื่อสะท้อนความจริงความชิงชัง”/..ความทรงจำ..ณ  “สังขละบุรี” นำผมให้ย้อนไปมอง “สะพานข้ามแม่น้ำสายประวัติศาสตร์” เบื้องหน้า..มันทอดยาวล้ำลึกข้ามน้ำข้ามแผ่นดิน..รองรับการดำรงอยู่ของสรรพชีวิต..นำพาพวกเขาให้ได้มาประสบพบเจอ “ชีวิตแห่งชีวิต”..ความเป็นพี่น้อง ความเป็นมิตรไมตรี ความผสานวัฒนธรรม เกิดขึ้นที่นี่ด้วยกาลเวลาอันน่านเนิ่น..มันคือฉากแห่งละครชีวิตที่ไม่เคยปิดลง..แม้ในบางช่วงเวลามันจะล่มสลายลงด้วยอายุขัย หรือแหลกสลายจิตวิญญาณลงด้วยความขัดแย้ง..

แต่..แม่น้ำสายใหญ่นี้ ก็กลับสร้างชีวิตแห่งชีวิตขึ้นมา  ด้วยแรงขับเคลื่อนของหัวใจที่ท่วมท้นไปด้วยความหมายของการอยู่ร่วม.. “ไม้แต่ละแผ่น"ที่ปลูกสร้างสะพานขึ้นมา..คือสัญญะความหมายว่า..ลึกลงไปใต้แม่น้ำสายใหญ่นั้น..จักมีอัศจรรย์ใดๆ..แต่..กลับเหนือแม่น้ำนั้น..มีอัศจรรย์มากหลายที่เป็นเรื่องราวเหนือความทรงจำ..และ..นี่คือภาพรวมแห่งปรากฏการณ์ชีวิต..ที่ “วิศิษฐ์ ปรียานนท์” ได้คิดและได้หยั่งเห็น..เหนือนัยรู้สึกแห่ง “บทกวีชีวิต” ของเขา..!

“..คือสะพานจริงแท้แม่น้ำสร้าง/ ให้รอยเท้าก้าวย่างวางความหมาย/ ให้บางสิ่งบางอย่างพร่างพราย/หลากหลายคุณค่าสาระ/”