ช่วยกันคิดช่วยกันทำ/ทหารประชาธิปไตย
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในชุมชนนานาชาติ ต่อการกระทำของอิสราเอลในการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในกาซา ผลลัพธ์ก็จะกลายเป็นโศกนาฏกรรม ที่จะเป็นบันทึกถึงการล่มสลายในมนุษยธรรมในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้
การกวาดล้างอย่างช้าๆ ประชากรกาซาลดลงจาก 2.3 ล้านเหลือไม่ถึง 1 ล้าน
2.กาซาถูกแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆมีกองทหารอิสราเอลควบคุม และสร้างระบบการปกครองแบบ APARTHEID โดยกดขี่เข่นฆ่าให้ล้มตายไปเรื่อยๆ หรือมีบางประเทศยอมรับให้ลี้ภัยไปบางส่วน
ในระยะสั้น ชาวกาซาจะยังคงประสบความทุกข์อย่างต่อเนื่อง จากการที่ระบบระหว่างประเทศยังคงล้มเหลว และไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งความก้าวร้าว ป่าเถื่อนของอิสราเอลได้
ในระยะปานกลาง กาซาจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แบบรายการถ่ายทอดสด
ในระยะยาว ประวัติศาสตร์จะเป็นผู้ตัดสินการกระทำนี้ แต่ชาวกาซาที่ตายไปแล้วนับล้านจะไม่ได้เห็นความยุติธรรมที่อาจจะเกิดขึ้น
ความจริงที่ขมขื่น คือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” จะจบลงด้วยความสำเร็จของผู้กระทำ และต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” อย่างเหตุการณ์ในราวัลดา และบอสเนีย
นี่คือบทเรียนที่โลกไม่ยอมเรียนรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลกที่ใกล้เขามา เพราะความเสื่อมทรามในด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นกับมนุษย์
บทเรียนต่อไปที่โลกจะได้รับรู้คือ การขยายตัวของมหาอาณาจักรอิสราเอล (THE GREATER ISRAEL) ซึ่งกำลังเกิดขึ้น เริ่มจากการขยายตัวในเวสต์แบงก์ ตั้งแต่ 1 พ.ย.2023 ถึง 31 ต.ค.2024 มีการขยายพื้นที่เพื่อจัดตั้งถิ่นฐานสำหรับชาวอิสราเอล ในเวลสต์แบงก์ และเยรูซาเล็ม เริ่มต้น 20,000 หน่วย ตามแผน E 1แม้จะถูกคัดค้านจากสหประชาชาติ และหลายประเทศ แต่อิสราเอลยังคงเดินหน้าต่อและมีแผนแบ่งแยกชาวปาเลสไตน์ให้ขยับไปอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด เพื่อปกครองแบบ APARTHEID (แบ่งแยกเชื้อชาติ) และกดขี่เข่นฆ่าให้สูญพันธุ์หรือย้ายหนีออกไป
ขั้นต่อไปคือ รุกรานซีเรีย โดยวันที่ 11 ก.พ.2025 วิทยุอิสราเอลประกาศว่า จะดำเนินการยึดครองพื้นที่บางส่วนในซีเรีย โดยการสร้างด่านอย่างน้อย 9 แห่งในซีเรีย
จากข้อมูลดังกล่าวนำไปสู่การวิเคราะห์ตามแผนที่ THE GREATER ISRAEL ที่เนทันยาฮูนำเสนอในสหประชาชาติ และในรัฐสภาอเมริกัน ยืนยันได้ว่า อิสราเอลมีแผนการขยายดินแดนจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปถึงลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส นั่นคือพื้นที่ในอียิปต์ อิรัก เลบานอน ซีเรีย ซาอุดิอาระเบีย และ จอร์แดน ซึ่งเป็นแนวคิดของชาวยิวไซออนิสต์ และได้รับการสนับสนุนจากชาวคริสต์ไซออนิสต์
ความคืบหน้าล่าสุด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน อิสมาอีล บากาอี ได้กล่าว่า การอ้างของนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะทำให้ความคิดของแผน “มหาอาณาจักรอิสราเอล” เป็นจริง คือการรวมดินแดนอาหรับและอิสลาม บ่งชี้ว่าระบอบนี้ไม่รู้จักขอบเขตของความเพียงพอ ก็ไม่รู้ว่าจะยังอ้างว่าเป็น “ดินแดนในพันธสัญญา” หรือไม่
แต่หลักคำสอนที่กล่าวอ้างตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “อิสราเอล” ต้องกำจัดภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ใดๆของตนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงให้หมดไป เพื่อสถาปนาความมั่นคงของตนเอง
หลักฐานที่ชัดเจนนอกจากการรุกรานซีเรียแล้ว อิสราเอลยังรุกรานเลบานอนใต้ และชานเมืองเบรุต ด้วยการกล่าวอ้างเดิมๆ คือเพื่อปกป้องตนเอง และเพื่อความมั่นคงของอิสราเอลในการควบคุมทางเหนือ
นอกจากนี้จะกดดันจอร์แดนเพื่อให้รับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์เพิ่มขึ้นจนจอร์แดนกลายเป็นรัฐล้มเหลว เพราะรับภาระไม่ไหว นั่นก็จะเป็นโอกาสที่อิสราเอลจะเข้าครอบครอง และขับไล่ผู้อพยพออกไป
มูลเหตุจูงใจของรัฐบาลที่สร้างเรื่องราวอ้างอิงศาสนามาประกอบจากแนวคิดของพวกหัวรุนแรงไซออนิสต์ คือ แรงกดดันทางการเมืองภายในอิสราเอลโดยเฉพาะเนทันยาฮูที่หลีกๆเลี่ยงการถูกดำเนินคดีประกอบกับจังหวะที่การบ่อนทำลายของอิสราเอลต่อซีเรียและเลบานอน กำลังผลิดอกออกผล จากการสนับสนุนของสหรัฐฯและประเทศอาหรับบางประเทศ ในขณะที่องค์การระหว่างประเทศอยู่ในจุดที่อ่อนแออย่างถึงที่สุด ทำให้การกระทำใดๆของอิสราเอลไม่ต้องรับโทษ
อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นและมีความเป็นไปได้คือ
1.อิหร่านอาจต้องออกหน้าเพื่อต่อต้านโดยกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนอยู่ในพื้นที่ตะวันออกกลาง จนกลายเป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรง และเกิดสงครามใหญ่
2.ตุรกีที่มุ่งรักษาผลประโยขน์ของตน เข้าแทรกแซงในซีเรียและเลบานอน
3.กลุ่มประเทศอาหรับรวมตัวกันต่อต้าน เพราะเกรงว่าภัยจะมาถึงตน
4.สงครามครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่มหาอำนาจจะเข้าแทรกแซง โดยสหรัฐฯและนาโตจะสนับสนุนอิสราเอล ส่วนรัสเซียและจีนจะสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามอิสราเอล จนกลายเป็นสงครามใหญ่ไม่ใช่สงครามตัวแทนอีกต่อไป
กล่าวโดยสรุปการขยายตัวสร้างมหาอาณาจักรอิสราเอล The Greater Israel นี้ ไม่ใช่คำถามว่า “จะเกิดขึ้นหรือไม่” แต่จะเป็นคำถามว่า “จะเร็วแค่ไหน”
ระหว่าง 1 มกราคม 2024 และ 30 เมษายน 2025 ชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองอย่างน้อย 616 คน รวมถึงเด็ก 115 คน ถูกสังหารโดยผู้ตั้งถิ่นฐานหรือกองทัพอิสราเอล นั่นคือความจริงที่กำลังเกิด
สงครามในภูมิภาคจึงไม่ใช่ “ความเป็นไปได้” แต่เป็น “ความจำเป็น” เมื่อประเทศเพื่อนบ้านตระหนักว่าพวกเขาจะเป็นเป้าหมายถัดไป การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดจะทำให้พวกเขาจำเป็นต้องรวมตัวกัน และประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงแต่ครั้งนี้มิได้เริ่มที่ยุโรป แต่เริ่มที่เอเซียตะวันตก