วันที่ 27 ส.ค.2568 รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์และนักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ เชิงวิชาการกรณีคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรี : มิติทางจริยธรรม การใช้อำนาจทางการเมือง ความมั่นคงแห่งรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
1. การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาพิจารณา คือการกระทำที่อาจเข้าข่าย ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงสำหรับนักการเมือง โดยเฉพาะหลักการที่เกี่ยวข้องกับการ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และ การไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางที่ขัดต่อความมั่นคงของประเทศ
- เนื้อหาในคลิปบางส่วนถูกตีความว่าเป็นการ พูดในลักษณะที่อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวต่ออธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ
- การพาดพิงถึงบุคลากรของกองทัพในเชิงลบหรือในลักษณะที่ทำให้ถูกมองว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับรัฐบาล อาจสร้าง ความเสียหายต่อความเชื่อมั่น ความเป็นเอกภาพ และขวัญกำลังใจของกองทัพ
2. การละเมิดอำนาจอธิปไตยและเขตแดนของรัฐ
การเจรจาหรือการพูดคุยเกี่ยวกับ ประเด็นชายแดนและเขตแดนของประเทศกับผู้นำต่างชาติ โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการทางการทูตที่เหมาะสม อาจถูกตีความว่าเป็นการ ก้าวล่วงอำนาจในการเจรจาต่อรอง ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยที่กำหนดไว้สำหรับ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศหรือคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC)
3. การใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่มิชอบ
แม้ว่าการสนทนาในคลิปเสียงอาจถูกอ้างว่าเป็น การสนทนาส่วนตัว แต่เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็น ตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของฝ่ายบริหาร การติดต่อพูดคุยกับผู้นำต่างชาติย่อมไม่สามารถแยกออกจากสถานะทางการเมืองได้โดยสิ้นเชิง
- การสนทนาดังกล่าวจึงถูกตั้งคำถามว่าเป็นการ ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ทางการเมืองของพรรค อันขัดกับหลักการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผลประโยชน์ของชาติ
-ขัดหลักการปกครองที่ดี (Good Governance) กำหนดให้นักการเมือง ต้องหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) และ ดำเนินการทุกอย่างภายใต้กรอบที่ตรวจสอบได้
4. มิติรัฐศาสตร์และการใช้อำนาจทางการเมือง
4.1 ความชอบธรรมทางการเมืองและวิกฤตศรัทธา การกระทำที่ถูกวิพากษ์ว่า ขัดต่อจริยธรรมและหลักการใช้อำนาจรัฐ อาจนำไปสู่การ สูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง และทำลาย ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้นำและรัฐบาล กรณีนี้ยังถูกมองว่าเชื่อมโยงกับ ความขัดแย้งเชิงเครือญาติระหว่างตระกูลทางการเมือง ซึ่งขยายกลายเป็น ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างรัฐและฝ่ายการเมือง
4.2 หลักการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ใช้อำนาจสูงสุดทางบริหาร ต้องปฏิบัติตามระเบียบทางการทูต และ ดำเนินการในประเด็นความมั่นคงผ่านกลไกของรัฐเท่านั้น การเจรจาประเด็นอ่อนไหวกับต่างชาติในลักษณะส่วนตัว สุ่มเสี่ยงต่อการถูกมองว่าใช้อำนาจโดยมิชอบ และอาจบั่นทอนความโปร่งใสในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ
4.3 ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหาร (Civil-Military Relations) คลิปเสียงมีการพาดพิงถึง แม่ทัพภาคที่ 2 และกองทัพ ในลักษณะที่ทำให้สาธารณะมองว่า กองทัพอยู่คนละฝ่ายกับรัฐบาล ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในมิติ เอกภาพและความน่าเชื่อถือของสถาบันทหาร และอาจก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพ
4.4 หลักการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์สาธารณะการอ้างว่าเป็น เรื่องส่วนตัว แต่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ กิจการของรัฐและผลประโยชน์สาธารณะ อาจทำให้เกิดข้อกังขาว่ามี การนำประโยชน์ของชาติไปผูกกับผลประโยชน์ทางการเมืองหรือส่วนบุคคล ซึ่งขัดกับหลักจริยธรรมทางการเมืองสากล
5. มิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ
5.1 หลักการอธิปไตยและการทูตตามแบบแผน (Formal Diplomacy)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐตั้งอยู่บนหลัก อธิปไตยและการเคารพซึ่งกันและกัน การพูดคุยเรื่องชายแดนและความมั่นคงต้องผ่าน ช่องทางการทูตอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและกองทัพต้องมีส่วนร่วม เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบและติดตามได้
5.2 หลักการรักษาผลประโยชน์ของชาติ การเจรจาในประเด็นชายแดนโดยไม่ผ่านกระบวนการทางการทูตที่เหมาะสม สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบในการเจรจา และอาจก่อให้เกิด ข้อตกลงหรือผลลัพธ์ที่กระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว
6. มิติระเบียบขั้นตอนราชการและกระบวนการปฏิบัติของรัฐ
6.1 หลักการดำเนินการทางการทูต การติดต่อกับต่างชาติในประเด็นอ่อนไหว ต้องผ่านกระบวนการทางการทูตที่ชัดเจนและโปร่งใส โดยปกติ
- กระทรวงการต่างประเทศต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลัก
- การเจรจาระดับสูงต้อง มีการจัดเตรียมข้อมูล สรุปสาระสำคัญ และมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วม
- ข้อตกลงหรือการเจรจาที่มีผลผูกพันรัฐ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
- ต้องมีการ บันทึกการประชุมอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นหลักฐานตรวจสอบ
การสนทนาแบบส่วนตัวที่ข้ามขั้นตอนเหล่านี้ บั่นทอนระบบการกำกับดูแล และเพิ่มความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของชาติ
6.2 หลักการบริหารราชการแผ่นดิน กิจการด้านความมั่นคงและเขตแดน เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานเฉพาะ เช่น
- คณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ทำหน้าที่กำหนดเส้นเขตแดนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
- กองทัพ มีบทบาทโดยตรงในการรักษาอธิปไตยและเส้นเขตแดน
การก้าวก่ายหรือแสดงความคิดเห็นนอกเหนืออำนาจหน้าที่ อาจทำให้ระบบราชการสับสน และกระทบต่อความสามารถในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
สรุปเชิงวิเคราะห์ กรณีคลิปเสียงดังกล่าว สะท้อนปัญหาหลักใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่
1. มิติทางจริยธรรมและการใช้อำนาจทางการเมือง – อาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงและการใช้อำนาจที่ขัดต่อหลัก Good Governance
2. มิติทางความมั่นคงและความสัมพันธ์พลเรือน-ทหาร – เนื้อหาที่พาดพิงกองทัพกระทบต่อเอกภาพของรัฐและขวัญกำลังใจของกองทัพ
3. มิติทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและขั้นตอนราชการ – การข้ามกระบวนการทางการทูตและไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่ตรวจสอบได้ อาจกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ
สำหรับ “ข้อแก้ต่างของนายกรัฐมนตรี” ต่อกรณีคลิปเสียง: มิติทางจริยธรรม การใช้อำนาจ ความมั่นคงของรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กรณีคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรี สะท้อนความอ่อนไหวในหลายมิติทางการเมือง ทั้งด้านจริยธรรม การใช้อำนาจรัฐ ความมั่นคงของชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในเชิงวิชาการสามารถวิเคราะห์แนวทางข้อแก้ต่างของนายกรัฐมนตรีได้ตามมิติสำคัญ ดังนี้
1. มิติทางจริยธรรมและการใช้อำนาจทางการเมือง
ในประเด็นจริยธรรมและการใช้อำนาจทางการเมือง นายกรัฐมนตรี สามารถวางข้อแก้ต่างบนพื้นฐานของการแยกเรื่องส่วนตัวออกจากตำแหน่งทางการเมือง โดยชี้แจงว่า การสนทนาในคลิปเสียงเป็นการสื่อสารส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาใช้ตำแหน่งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรค การดำเนินการและการตัดสินใจด้านการบริหารราชการแผ่นดินยังคงเป็นไปตามกระบวนการราชการปกติ การชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างความคิดเห็นส่วนตัวและการดำเนินงานของรัฐ จะช่วยยืนยันว่าไม่ได้ละเมิดหลักการ Good Governance
อีกทั้งสามารถเน้นย้ำว่า การบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากนโยบายและข้อสั่งการยังคงดำเนินตามขั้นตอนปกติ โดยการเน้นความโปร่งใสและการแยกชัดเจนระหว่างเรื่องส่วนตัวและงานราชการ เป็นวิธีหนึ่งในการรักษามาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางบริหาร
2. มิติความมั่นคงและความสัมพันธ์พลเรือน-ทหาร ในมิติความมั่นคงและ Civil-Military Relations ข้อแก้ต่างสามารถวางบนพื้นฐานว่า การกล่าวถึงบุคลากรทางทหารไม่ได้มีเจตนาทำลายความเชื่อมั่นหรือสร้างความแตกแยก การสนทนานั้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่นโยบายหรือคำสั่งราชการ
ยิ่งไปกว่านั้น สามารถนำเสนอหลักฐานว่า กองทัพยังดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ปกติ ไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือเอกภาพ และไม่ได้บั่นทอนขวัญกำลังใจของบุคลากรทางทหาร การอธิบายเช่นนี้ช่วยลดความกังวลต่อการตีความว่าการสนทนากระทบต่อความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารหรือสร้างความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง
3. มิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและขั้นตอนราชการ
ในมิติระหว่างประเทศและขั้นตอนราชการ นายกรัฐมนตรีสามารถให้ข้อแก้ต่างโดยเน้นว่า การสนทนาไม่ได้สร้างข้อผูกพันทางรัฐ หรือเป็นการออกข้อตกลงระหว่างประเทศ เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั่วไป ไม่ได้ละเมิดหลักการทูตหรือขั้นตอนราชการ
นอกจากนี้สามารถยืนยันว่า กระบวนการราชการและการทูตยังดำเนินไปตามปกติ ไม่มีการก้าวล่วงอำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเน้นความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ของข้อมูลและขั้นตอนราชการ จะช่วยยืนยันว่าไม่ได้ละเมิดกฎหมายหรือมาตรฐานความลับของรัฐ
4. สรุปเชิงวิเคราะห์ ข้อแก้ต่างที่นายกรัฐมนตรี สามารถนำเสนอได้อย่างมีเหตุผลประกอบด้วย
1. การเน้นว่า การสนทนาเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน
2. การชี้ว่า ไม่มีผลต่อการตัดสินใจหรือการดำเนินงานของรัฐ ทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการราชการปกติ
3. การยืนยันว่า ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย การทูต หรือมาตรฐานจริยธรรม
4. การอธิบายว่า ไม่ได้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสัมพันธ์พลเรือน-ทหาร
5. การเน้นว่า ขั้นตอนราชการและการทูตยังดำเนินตามปกติและสามารถตรวจสอบได้