วันที่ 26 ส.ค..68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ โพสต์คลิป พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn ระบุว่า...
กัมพูชารบไทยครบ 1 เดือน: Getting not to yes! (ตอนที่ 1/3)*
1. ไทยอยู่ในสภาวะสงคราม แต่หลายคนไม่ยอมรับ - "We are at war, but some don't admit it"
นับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นเวลากว่า 1 เดือนมาแล้วที่กัมพูชาและไทยได้เข้าสู่ ”สงครามผสมแบบรอบด้าน“ อย่างชัดเจนโดยที่หลายคนไม่ได้คาดคิดมาก่อน สงครามดังกล่าวเป็นรูปแบบหนึ่งของสงครามระหว่างประเทศที่เรียกกันว่า “สงครามแบบเบ็ดเสร็จ” (Total War) หรือ ”สงครามรูปแบบผสม“ (Hybrid Warfare) ที่มักเรียกกันในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างเป็นอย่างมากจากสงครามคอมมิวนิสต์ สงครามกองโจร สงครามกลางเมือง ในอินโดจีนหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาที่มักคุ้นกันกว่า 50 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยบางส่วนไม่คิดว่าประเทศอยู่ในสภาวะสงครามแบบใหม่ดังกล่าว จึงไม่ได้มีการเตรียมการหรือทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อรองรับสถานการณ์ใหม่นี้ตั้งแต่แรก ทำให้ไทยไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้ได้ตั้งแต่แรกมากนักและปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำให้เกิดสันติภาพได้อย่างที่ตั้งใจ
ปัจจัยอะไรที่กำหนดว่าเป็นสงครามระหว่างประเทศหรือสงครามแบบเบ็ดเสร็จนั้น ความขัดแย้งกัมพูชา-ไทยในครั้งนี้ ก็ครบถ้วนตามองค์ประกอบ เช่น
1.1) ทั้งสองประเทศใช้กำลังทหารจำนวนมากในการสู้รบ ทั้งประจำการและไม่ประจำการ โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชามี “ทหารบ้าน” หรือ “ทหารถิ่น” ที่เป็นชาวบ้านหรือเขมรแดงเก่าจำนวนมากและทั้งสองฝ่ายก็ได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์มากมายหลายชนิด ทั้งเก่าและใหม่ ทั้งราคาถูกหรือหาซื้อได้ในเชิงพาณิชย์ เช่น กับระเบิด (ฝ่ายกัมพูชา) โดรน อุปกรณ์นำวิถี หรือที่ใช้เทคโลโลยีทหาร เช่น จรวดหลายลำกล้อง (ฝ่ายกัมพูชา) ปืนใหญ่ หรือเครื่องบินรบสมรรถนะสูงชี้เป้าด้วยดาวเทียม ที่จัดซื้อจัดหามาจากสหรัฐฯ จีน รัสเซีย และอีกหลายประเทศ โจมตีกันอย่างรุนแรง ทั้งบริเวณตามแนวชายแดนหลายจังหวัด ทั้งข้ามพรมแดนจนยึดพื้นที่ของกันและกันไว้ได้บางส่วน มีเชลยศึกเกิดขึ้นจำนวนหนึ่ง และมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่สู้รบนับแสนคนและปัจจันก็ยังมีผู้อพยพพลัดถิ่นอยู่ในพื้นที่อีกด้วย
สงครามกัมพูชา-ไทยครั้งนี้ ยังมีการสู้รบกันในโลกไซเบอร์สมัยใหม่ด้วย มีการโจมตีเครือข่ายออนไลน์ของระบบราชการ มีการปล่อยข่าวลวงข่าวปลอมไม่เว้นแต่ละวัน ที่สำคัญมีการปล่อยคลิปลับการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับนายฮุน เซ็น ประธานองคมนตรีและประธานพฤฒสภาของกัมพูชา ส่งผลให้นรม.ของไทยต้องคดีและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเพื่อรอคำพิพากษาของศาล มีการโจมตีกล่าวหากันในสังคมออนไลน์ระหว่างประชาชนบางกลุ่มในสองประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการปิดด่านตลอดแนวชายแดน มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและระงับกิจกรรมต่าง ๆ ข้ามพรมแดนหลายชนิดลงชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและต่อประชาชนทั้งสองฝ่ายเป็นอันมาก ก่อนที่จะมีการพักรบชั่วคราวในวันที่ 29 กรกฎาคม และมีข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 สิงหาคม รวม 13 ข้อ ล่าสุดยังมีการตกลงกันเพิ่มอีก 2 ข้อคือ การกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติในการประชุมระดับ RBC แต่ "สันติภาพบนแผ่นกระดาษ" นี้ ก็ยังไม่ทำให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริงระหว่างสองประเทศในปัจจุบัน
1.2) สงครามครั้งนี้มีทหารและประชาชนของทั้งสองประเทศเสียชีวิตกว่าสองพันคน (ตามการประเมินขั้นต้นของสหรัฐฯ และหลายฝ่าย) โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชาที่ได้สูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวเลขความสูญเสียในระดับนี้สามารถจัดได้แล้วว่าเป็นสงครามระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะไม่ได้มีการประกาศสงครามกันก็ตาม เหตุเพราะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน ด้วยการกระทำของกองกำลังทหารแห่งชาติข้ามพรมแดน ตามนิยามของสงครามระหว่างประเทศที่ใช้กันโดยทั่วไป
1.3) สหประชาชาติ โดยคณะมนตรีความมั่นคง (UNSC) ก็ได้เรียกประชุมฉุกเฉินในวันที่ 25 กรกฎาคมภายใต้หัวข้อ "ภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ" ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นหัวข้อที่ชัดเจนว่าเป็นสถานะการสงคราม แตกต่างจากหัวข้ออื่น ๆ เมื่อปี 2554 หรือ 2551 โดยในครั้งนี้ได้ระบุให้ทั้งไทยและกัมพูชาเข้าร่วมประชุมตามข้อบังคับ ซึ่งไทยก็ได้ชี้แจงว่าถูกกัมพูชารุกรานและละเมิดอธิปไตย ทำให้มีทหารและพลเรือนของไทยบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก (ปัจจุบันรวมแล้วเกือบ 300 คน) จึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเองตามมาตราที่ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การชี้แจงที่ชัดเจนและแข็งขันเป็นครั้งแรกนี้ ทำให้ UNSC ไม่มีข้อมติที่ชัดเจนที่เป็นโทษกับไทยหรือเป็นคุณกับกัมพูชาตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้คาดหวังไว้
แต่ที่สำคัญ สงครามครั้งนี้มีหลายประเทศได้เข้ามาแทรกแซงหรือเกี่ยวข้องในการกำหนดทิศทางของความขัดแย้ง รวมทั้งกดดันให้มีการยุติการรบ มีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเร่งรีบและไม่รัดกุม ซึ่งหมดนี้ ไม่ได้ช่วยให้ไทยได้เปรียบอะไรมากนักเมื่อเทียบกับกัมพูชา ตัวอย่างเช่น มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนและนรม.อันวาร์ อิบราฮิมด้วยตนเอง ได้เร่งรัดให้ไทยยอมรับข้อตกลงอย่างน่าเคลือบแคลงใจ สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ ก็ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้เป็นคุณกับไทยมากนัก แต่มุ่งเน้นที่จะลดบทบาทของจีนในกัมพูชาลงให้ได้ รวมทั้งปธน.ทรัมป์นั้น ก็ต้องการรางวัลสันติภาพเป็นการส่วนตัว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายหวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ต้องการเข้ามาปกป้องกัมพูชาตั้งแต่แรกในฐานะที่กัมพูชาเป็นบริวารหรือหลังบ้านที่ไม่ทิ้งกัน แต่ในขณะเดียวกัน จีนก็ยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ปกติไว้กับไทยด้วย ส่วนฝรั่งเศส โดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง นั้น แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ต้องการปกป้องมรดกทางอาณานิคมและผลประโยชน์ของตนในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านจีนและต้องการผลประโยชน์ด้านการลงทุนและพลังงานจากกัมพูชาโดยเฉพาะ
อาเซียนในฐานะผู้สังเกตการณ์ 8 ประเทศ (Interim Observer Team - IOT) และเป็นแกนกลางในการแก้ปัญหานั้น สมาชิกแต่ละชาติต่างก็ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในกัมพูชา จึงไม่ได้ประจานหรือประณามหรือกดดันกัมพูชาอย่างชัดเจนในการกระทำอันป่าเถื่อนที่ได้สังหารประชาชนชาวไทย และกล่าวได้ว่าอาเซียนภายใต้การนำของประธาน นายอันวาร์ อิบราฮิม นรม.มาเลเซีย มีส่วนในการลดทอนความเป็นเอกภาพและสันติภาพขององค์การอาเซียนที่เป็นแกนหลักของความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมของภูมิภาคด้วย แต่ก็ยังดีที่ว่าเมื่อคณะ IOT ได้เข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่แล้ว โดยเฉพาะจากฝั่งชายแดนไทย ความเป็นจริงก็ปรากฏชัดขึ้น ยากที่จะปฏิเสธหรือเพิกเฉยแบบที่ผ่านมาได้ และเช่นเดียวกันกับกลุ่มผู้ช่วยทูตทหาร คณะทูตานุทูต คณะของประเทศภาคีสนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิด Ottawa ก็ได้มีส่วนช่วยกดดันให้กัมพูชาปรับท่าทีให้ดีขึ้นต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ทั้งหมดนี้ สะท้อนการแข่งขันแย่งชิงความได้เปรียบในด้านภูมิยุทธศาสตร์ของโลกและของภูมิภาคที่เข้มข้นขึ้นมากในปัจจุบัน รวมทั้งการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองของแต่ละประเทศในกัมพูชาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเตือนให้ไทยได้ตระหนักว่าในเวทีการเมืองระหว่างประเทศนั้น อย่าไปเรียกร้องความจริงใจจากใคร อย่าไปคิดว่าชาติไหนจะมาช่วยไทยโดยไม่หวังต่างตอบแทน และที่สำคัญคืออย่าไปคิดว่าไทยยังเป็นที่รักที่ใคร่ของชาติใดเป็นพิเศษอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเรายังมีมิตรมากกว่าศัตรูเมื่อเทียบกับหลายประเทศก็ตาม และสงครามกัมพูชา-ไทยในครั้งนี้ ได้กลายเป็น "สงครามตัวแทน" หรือ Proxy War ไปแล้วโดยปริยาย
* กรุณาติดตามตอนที่ 2/3
2. ไทยอยู่ในสภาวะอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินไปสู่สันติภาพที่แท้จริง - "We are at war with ourselves - Too weak to win the peace" ได้ในโพสต์ต่อไปครับ